วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ครั้งแรกที่เขาใหญ่

"สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆ ที่เคารพรักทุกท่าน เที่ยวทั่วไทยไปได้ทุกเดือนกลับมาแล้วครับ หลังจากที่เราไปสัมผัสลมหนาวที่ "จังหวัดน่าน" ตั้งแต่ช่วงต้นฤดูหนาว ทริปนี้เราจึงเลือกสถานที่ใกล้ๆ ที่เดินทางง่ายๆเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางกันอีกครั้ง คิดไปคิดมาเราก็เลือกที่จะไปกางเต็นท์กันที่ "อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่" ซึ่งหลายๆคนน่าจะเคยไปกันแล้วแถมยังน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีอีกด้วย

และที่สำคัญคือเราไม่เคยไปเที่ยวที่ "อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่" เลยและนี่ก็เป็นครั้งแรกของเราสองคน เราเริ่มหาข้อมูลไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง สถานที่กางเต็นท์รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่บริเวณใกล้เคียง

อุปกรณ์สำหรับทริปนี้เพรียบพร้อม ส่วนกระเป๋าและอุปกรณ์นอนทริปนนี้ไม่ต้องห่วงบอกได้คำเดียวว่าจัดเต็มครับเพราะทริปนี้เราเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวกันครับ อยากได้อะไรขนไปให้หมด

พาไปอาบน้ำก่อนออกเดินทางกันสักหน่อยหลังจากไม่โดนน้ำมานานมากละ.....!!!!

"วันที่ 10 ธันวาคม 2559 เวลา 09:30 น." จริงๆแล้วเราออกจากกรุงเทพฯตั้งแต่ 7 โมงเช้าแล้วแต่ต้องแวะไปทำธุระย่านสายไหมเลยทำให้ออกเดินทางช้าไปกว่าที่เราคิดเอาไว้ แต่เมื่อไหนๆก็เลยแล้วเราก็ถือโอกาสแวะเข้าห้องน้ำ เช็คลมยางรถ ซะเลยจะได้ไม่เสียเวลามากไปกว่านี้ เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพเราก็ไม่รอช้าเดินทางมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางของเราในทริปนี้กันเลย เราใช้เส้นทางถนนพหลโยธินมุ่งหน้าสู่จังหวัดสระบุรีและเลี้ยวเข้าถนนมิตรภาพ การเดินทางของเราในครั้งนี้เราใช้ "Google Map" เป็นหลักอย่างที่เราบอกเมื่อตอนต้นอ่ะครับว่านี่เป็นการเดินทางไปที่เขาใหญ่เป็นครั้งแรก ระหว่างที่เราเดินทางนั้นเป็นวันที่รถบนทองถนนค่อนข้างแน่นมากแต่รถก็ขยับได้เรื่อยๆ ทำให้การเดินทางของเราช้าลงไปพอสมควรเนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดยาว 3 วัน

"เวลา 11:15 น." เราขับรถมาจนเข้าเขตของจังหวัดนครราชสีมาแล้ว

จากนี้ขับไปอีกสักหน่อยก็จะถึงจุดกลับรถ เราต้องกลับรถต้องนั้นและเลี้ยวซ้ายและเดินทางต่ออีกนิดก็ถึง "อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่" แต่ก่อนที่เราจะเลี้ยวซ้ายไปกันต่อนั้นเราแวะปั้มน้ำมันเพื่อเติมน้ำมันให้พร้อมและแวะพักผ่อน ยืดเส้นยืดสาย คลายความเมื่อล้าหลังจากขับรถมานาน 2 ชั่วโมงกว่าๆ แต่ขณะที่เราจอดรถเพื่อจะเติมน้ำมันนั้นทางพนักงานได้เเจ้งกับเราว่าน้ำมันชนิดที่เราต้องการนั้นหมดทางปั้มกำลังสั่งมา เราจึงไม่ได้เติมและเลือกที่จะเดินทางกันต่อและหาปั้มเอาข้างหน้าและแล้วเราก็เจอปั้มเล็กๆปั้มหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านเราจึงแวะเติมจากปั้มนั้นและเดินทางกันต่อครับ 

"เวลา 12:00 น." หลังจากที่เติมน้ำมันเสร็จแล้วและเดินทางกันต่อ เราสังเกตุว่าทำไมรถบริเวณนี้ถึงติดจัง ค่อยๆขยับทีละนิด สาเหตุที่รถติดก็เพราะว่าตรงนี้เป็นจุดที่มีร้านอาหารและขายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรปลอดสารพิษ เราก็ไม่พลาดที่จะแวะหาอะไรกินสักหน่อยและถือโอกาสถ่ายรูปเล่นด้วยเลยก็แล้วกัน ตรงนี้มีชื่อว่า "เป็นลาว" นะครับ

คนเยอะมากๆ ผมจึงได้ไอติมมา 1 อันและก็ไม่ได้อะไรเพิ่มเนื่องจากทนรอคิวไม่ไหว อีกอย่างตอนแรกๆเราก็ไม่ได้สนใจหรอกว่ามันเป็นวันหยุดยาวแต่พอนึกได้มันยิ่งทำให้เรายิ่งรีบที่จะไปให้ถึงเขาใหญ่เพราะกลัวว่าที่ลานกางเต็นท์จะเต็ม แต่พอเราขับรถกันต่อไปอีกไม่นานนักเราก็เริ่มรู้สึกหิว

"เวลา 12:45 น." ด้วยความที่เราไม่เคยมาที่นี่กันมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะหลงบ้างอะไรบ้าง แต่อย่าใช้คำว่าหลงครับ ให้ใช้คำว่าค้นพบเส้นทางใหม่จะดีกว่า ฮ่าๆ

ไหนๆก็หลงมาละก็ไม่ให้เสียเวลาเราจึงหาร้านอาหารนั่งกินกันดีกว่า เราขับรถมาเรื่อยๆและแล้วราก็มาเจอร้านขายข้าว ก๋วยเตี๋ยวและอื่นๆอีกมากมายเลือกเอาตามใจชอบครับ เราสองคนเลือกที่จะสั่งก๋วยเตี๋ยวต้มยำสูตรสุโขทัยและซื้อกล้วยทอด+ข้าวเม่าไปกินกันบนรถด้วยครับ อันนี้ไม่มีรูปถ่ายมาฝากนะเนื่องจากหิวมากเลยลืมที่จะถ่ายภาพเก็บไว้ หลังกินเสร็จและซื้อของกินเสร็จ เราก็เลยถามทางกับลุงเจ้าของร้านเลยครับว่าอุทยานฯไปทางไหน

เรา  :  อุทยานไปทางไหนครับลุง

ลุง  :  ลูกขับรถย้อนกลับไปตรงไปให้สุดเลยก็             จะถึงประตูทางเข้าอุทยานฯเลย

เรา  : ขอบคุณครับลุง

ลุง   : เที่ยวสนุกนะ

เรียบร้อยครับ คราวนี้หลงให้มันรู้ไป แต่การขับรถหลงมันก็ดีนะครับมันทำให้เรารู้ว่าไอ้ "ปาลิโอ้ เขาใหญ่" ที่หลายๆคนนิยมมาถ่ายรูปเช็คอินอยู่ตรงนี้นี่เอง ก่อนที่จะเข้าไปในตัวอุทยานฯนั้นเราแวะซื้อกล่องโฟมใส่น้ำแข็งและเครื่องดื่มแช่เข้าไปด้วยครับ เราคิดว่าข้างในคงไม่มีขายแน่นอน

"เวลา 13:30 น." และแล้วเราก็มาถึงทางเข้าที่ทำการ "อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่" จนได้ บอกตรงๆนะครับว่าเราสองคนตื่นเต้นมากเพราะนี่เป็นครั้งแรกและอีกอย่างก็น่าจะเป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เราได้เดินทางท่องเที่ยวกัน มันดูมีมนต์ขลัง น่าสนใจมากๆครับ

จากตรงนี้เราต้องเสียค่าเข้า ของเราเสียไปทั้งหมด 130 บาน่าจะแยกเป็นคนไทยคนละ 40 บาทเรา 2 คนก็เป็น 80 บาท + รถยนต์ 1 คัน 50 บาท(ตั๋วหาย) พอขับเข้าไปเราก็จะถึงที่แรกนั่นก็คือ "ศาลเจ้าพ่อเขใหญ่" ซึ่งเป็นศาลประจำอุทยานฯแห่งนี้ มีผู้คนและนักท่องเที่ยวแวะไหว้สักการะอยู่เป็นจำนวนมาก ระหว่างทางที่ขับเข้ามาจากประตูทางเข้าแล้วเราก็จะสัมผัสได้ถึงธรรมชาติที่สวยงามและอากาศที่เย็นสบาย พลางเราก็คุยกันว่า "อยากให้ไอ้พวกที่ชอบตัดไม้ทำลายป่ามาอยู่ด้วยกันตรงนี้จังมันจะได้รู้ว่าอากาศที่ได้รับจากธรรมชาตินั้นสดชื่นกว่าอากาศที่ได้จากเครื่องปรับอากาศมากแค่ไหน" 

จากตรงนี้ไปก็ประมาณอีก 14 กิโลเมตรเห็นจะได้กว่าที่เราจะถึงที่ทำการอุทยานฯ เราขับรถเปิดกระจกรับลมอย่างมีความสุข

"เวลา 14:15 น." เราเดินทางมาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติแล้ว สำหรับที่ทำงานอุทยานแห่งชาติมีหลายจุดด้วยกันและจุดที่เราจอดอยู่นี่เป็นจุดใหญ่อยู่ในเขตพื้นที่ของ "จังหวัดนครนายก" 

ตรงสะพานข้ามห้วยก่อนถึงที่ทำการอุทยานฯเป็นตัวแบ่งเขตระหว่าง จังหวัดนครราชสีมา และ จังหวัดนครนายก เมื่อเรามาถึงเราก็หาที่จอดรถและไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อทำการประทับตราอุทยานแห่งชาติลงในสมุดครับ

เรียบร้อยเก็บได้อีก 1 ที่แล้ว จากนั้นเราก็เดินดูบริเวณรอบๆ เพื่อศึกษาหาข้อมูลเพื่อเพิ่มพูลความรู้ สำหรับ "อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่" กินเนื่อที่ทั้งหมด 11 อำเภอกับอีก 4 จังหวัดด้วยกันคือ

-จังหวัดนครราชสีมา 

-นครนายก

-จังหวัดสระบุรี

-จังหวัดปราจีนบุรี

เป็นข้อมูลพอสังเขปนะครับ สำหรับอำเภออะไรบ้างนั้นไปตามสืบกันเอาเองนะครับส่วนเราสองคนจำได้นิดหน่อยแต่ไม่ครบ ระหว่างที่เราเดินกลับไปที่รถนั้นเราแอบเห็นป้ายแจ้งอุณหภูมิของอุทยานฯด้วยซึ่งเมื่อคืนนี้อุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ 14 องศาเซลเซียสน่าจะหนาวน่าดูครับเพราะช่วงกลางวันที่เราไปถึงอุณหภูมิก็อยู่ที่ประมาณต้นๆ 20 องศาเซลเซียสแล้ว คนที่คิดหนักเรื่องอากาศหนาวนั้นไม่ใช่ใครก็ตัวผมเองนี่แหละครับเพราะไม่ได้เอากางเกงขายาวมาเลยสักกะตัวมีแต่ขาสั้นและกางเกงบางๆสำหรับตอนนอนเท่านั้น

"เวลา 15:00 น." เราเดินทางออกจากศูนย์บริการนักทองเที่ยวมุ่งหน้าสู่ลานกางเต็นท์กันต่อครับที่ "อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่" มีจุดที่นักท่องเที่ยวสามารถกางเต็นท์ได้ทั้งหมด 3 ที่

  • ลานกางเต็นท์ลำตะคลอง
  • ลานกางเต็นท์ผากล้วยไม้
  • ลานกางเต็นเขาร่ม (จุดนี้เป็นจุดเสริมไว้รองรับจำนวนนักท่องเที่ยวในกรณีที่ 2 จุดแรกเต็มครับ)

เราสองคนเลือกที่จะไปกางเต็นท์กันที่ "ผากล้วยไม้" สาเหตุที่เราเลือกกางเต็นท์ตรงจุดนี้เพราะว่าจุดนี้ใกล้ "น้ำตกเหวสุวัต" และไม่ไกลมากจากจุดพระอาทิตย์ขึ้นที่ "ผาเดียวดาย" แต่ดูจากจำนวนคนแล้วเราก็ทำใจไว้ล่วงหน้าแล้วว่าคงไม่ได้ไปนอนที่ผากล้วยไม้แล้วเป็นแน่แท้ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ก็ยังยืนยันกับเราอีกว่าที่ผากล้วยไม้นั่นเต็มแล้ว แต่เราไม่ยอมแพ้ขับรถเสี่ยงดวงไปก่อนดีกว่าได้ไม่ได้ว่ากันอีกทีครับ และเมื่อเขาขับรถไปถึงแค่ "ลานกางเต็นท์ลำตะคลอง" เจ้าหน้าที่อุทยานฯก็ได้แจ้งกับเราว่าตรงจุดนี้และผากล้วยไม้เต็มแล้วให้เราขับรถตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายไปลานกางเต็นท์เสริมที่เจ้าหน้าที่ได้จัดเตรียมไว้สำหรับนักท่องเที่ยว

"เวลา 15:45 น." เราเดินทางมาถึง "ลานกางเต็นท์เขาร่ม" ซึ่งเป็นจุดเสริมที่เราบอกไว้ก่อนหน้านี้ เย็นแล้วเรารีบจอดรถเดินไปหาสถานที่ที่เราจะกางเต็นท์กันคืนนี้และแล้วเราก็เลือกที่ที่เหมาะกับเราที่สุดกันในวันนี้ครับ เราจึงไปขนของที่เราเตรียมมาไปยังจุดที่เราจะกางเต็นท์กัน

มาครับ มาช่วยกันกางเต็นท์หน่อยนี่เป็นเต็นท์ใหม่ที่ผมเพิ่งซื้อมาครับ หลังจากอันเดิมพังตอนไปเที่ยวที่ "จังหวัดน่าน" และนี่คือสถานที่ใหม่และเต็นท์อันใหม่ครับ

ให้นางหัดทำบ้างเดี๋ยวจะทำไม่เป็น เราใช้เวลาสักครู่หนึ่งเราก็กางเต็นท์กันสำเร็จ

บ้านหลังน้อยของเราในค่ำคืนนี้สำหรับเป็นที่ซุกหัวนอนของเรา จากภาพจะเห็นบริเวณรอบๆ เริ่มมีนักท่องเที่ยวมาจับจองที่กางเต็นท์หนาตาขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งเป็นหมู่บ้านขนาดย่อมๆเลยครับ

"เวลา 16:30 น." หลังจากที่เรากางเต็นท์กันเสร็จแล้วเราก็เดินไปยังกองอำนวยการนักท่องเที่ยวเพื่อหาเช่าเสื่อเพื่อเอาไว้ปูนั่งเล่นหน้าเต็นท์คืนนี้และไปจ่ายค่ากางเต็นท์ด้วยครับคนละ 30 บาท

ช่วยกันจ่ายนะครับเจ้าหน้าที่จะได้นำเงินไปบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติ จากนั้นก็เดินสำรวจบริเวณรอบๆลานกางเต็นท์ด้วยครับ และเมื่อได้เสื่อมาแล้วเราก็นำมาปูไว้หน้าเต็นท์ ปูเสื่อเสร็จก็จัดข้าวของเข้าที่และนั่งพักผ่อนก่อนจะทำกิจกรรมและภาระกิจอื่นๆต่อครับ

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มากางเต็นท์สัมผัสอากาศหนาวกันที่นี่ส่วนใหญ่จะมเป็นหมู่คณะ ครอบครัว กลุ่มเพื่อน เตรียมกับข้าวมาทำกินกัน บ้างก็มีดื่มกันบ้างเหมือนกับเราสองคนที่ไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยเรื่องอาหารการกิน

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มครับที่เตรียมอุปกรณ์มาคอนข้างครบครันเราสองคนนี่อดหิวไม่ได้เลยครับเพราะกลิ่นกับข้าวของแต่ละเต็นท์โชยกลิ่นหอมฟุ้งส่งกลิ่นไปทั่วเลยครับ เวลาผ่านไปไม่นานลานกางเต็นท์แห่งนี้ก็แน่นไปด้วยเต็นท์ครับ

ยิ่งเย็นคนยิ่งเยอะครับ ผมได้รับข้อมูลจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯว่าตรงจุดนี้ถ้าไม่มีคนมากางเต็นท์จะเต็มไปด้วยฝูงกวางป่าครับ พอเราได้ฟังแล้วก็รู้สึกหดหู่ใจพอสมควรครับประหนึ่งเหมือนเรากำลังแย่งที่ของสัตว์ป่าเพื่อแสวงหาความสุขซึ่งจริงๆ แต่สิ่งที่จะทำให้ได้ก็คือเที่ยวแล้วก็ต้องช่วยกันรักษาความสะอาดครับ ว่าแล้วเราก็เจอกวางป่าเข้าจนได้

มันไม่ได้บุกรุกเราแต่เราต่างหากที่บุกรุกที่ของพวกมัน ขณะที่เรานั่งพักกันอยู่นั้นเราก็ได้ยินเจ้าหน้าที่ประกาศให้นักท่องเที่ยวได้ทราบว่าว่ามีกิจกรรมส่องสัตว์ในยามค่ำคืนด้วย เราก็ไม่พลาดที่จะร่วมกิจกรรมนี้ครับ เราโทรไปจองรถในราคาเหมา 500 บาทต่อคันไม่เกิน 10 คนแต่เนื่องจากเรามากันแค่ 2 คนก็จะต้องจ่าย 500 บาทเหมือนกัน ซึ่งเรายินดีครับ เจ้าหน้าที่นัดเวลเราตอน 1 ทุ่มตรง

ขณะที่เรานั่งดื่ม กิน พลางนั่งพักไปด้วยเพื่อรอเวลานัดหมายไปส่องสัตว์เราก็เห็นผู้คนทยอยเข้ามากางเต็นท์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเราก็ได้เห็นภาพประทับใจภาพหนึ่งครับ

เป็นภาพที่เห็นแล้วทำให้รู้เลยว่าน้ำใจคนไทยนี่ยิ่งใหญ่จริงๆ พี่คนเสื้อขาวแกเพิ่งมาถึงแล้วเต็นท์แกใหญ่มากกางคนเดียวค่อนข้างลำบาก พี่คนเสื้อลายแกคงเห็นนานแล้วหล่ะแกเลยขันอาสาที่จะช่วยกางจนเสร็จผมเห็นแล้วซึ้งใจมากเลยครับ

"เวลา 17:45 น." หลังจากที่นั่งดมกลิ่นหมูย่างและกลิ่นกับข้าวบริเวณรอบๆแล้วเราจึงตัดสินใจเดินไปซื้ออาหารเย็นที่กองอำนวยการมากินซึ่งอาหารเย็นของเราในทริปนนี้คงหนีไม่พ้น

กินๆเข้าไป มีน้อยกินน้อยมีเท่านี้ก็กินเท่านี้แหละง่ายดีแถมประหยัดอีกด้วย

ความสุขของเรามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาหารที่เราได้กินแต่มันขึ้นอยู่กับบรรยากาศที่เราได้รับมากกว่า และนี่ก็เป็นภาพกองอำนวยการร้านสวัสดิการของอุทยานฯในช่วงเย็นค่ำครับ

"เวลา 18:15 น." พอจัดการอาหารเย็นเสร็จและพระอาทิตย์ก็กำลังจะลับขอบฟ้าอากาศก็เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ เราจึงสลับกันไปอาบน้ำกันครับ ผมให้มาดามผมไปอาบน้ำก่อนเพราะเธอเป็นคนขี้หนาวส่วนผมจะอาบหลังจากไปส่องสัตว์กันเสร็จแล้ว 

"เวลา 19:00 น." เจ้าหน้าที่ประกาศเรียกประกาศเรียกนั่งท่องเที่ยวที่ทำการจองรถส่องสัตว์กับทางอุทยานฯไว้

ซึ่งแต่ละคันก็มีคนไม่ต่ำไปกว่า 5-6 คนแต่คันของเรานี่ซิมีเพียงแค่เรา 2 คนเท่านั้น พอเจ้าหน้าที่เห็นว่าเราไปกันแค่ 2 คน พี่เจ้าหน้าที่ก็เดินไปสอบถามนักท่องเที่ยวคนอื่นๆเผื่อมีคนสนใจแชร์ค่ารถกับเราและแล้วก็มี 2 พ่อลูกวิ่งมาบอกว่าขอไปด้วย ซึ่งเราเองก็ไม่ขัดคล่องเพราะจะได้มีคนหารค่ารถเพิ่มอีกคนหนึ่ง เมื่อทุกๆอย่างพร้อมแล้วพวกเราก็ออกเดินทางไปส่องสัตว์กันเลยครับ บนรถจะมีเจ้าหน้าที่คอยส่องไฟหาสัตว์ให้เราด้วย 

เรานั่งรถออกมาไม่นานนักเราก็ได้เห็นสัตว์ตัวแรกกันแล้วครับ

นั่นก็คือ "เม่น" ด้วยคุณภาพกล้องที่เรามีจึงทำให้ได้ภาพมาฝากเพียงแค่นี้ครับ เจ้าหน้าที่ขับรถวนไปเรื่อยๆครับ พลางก็คุยกันไปเรื่อยๆ

ความคาดหวังของเราในการส่องสัตว์กันก็คืออยากเห็นช้างป่า กระทิง แต่เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากมายจนแน่นจึงทำให้เราพลาดที่จะเห็นสัตว์ในยามค่ำคืนเราเห็นเพียงแค่ กวางและเม่น เท่านั้นแต่สำหรับเราถือว่าคุ้มค่าครับเพราะสัตว์ในป่าไม่ใช่สัตว์ในสวนสัตว์ที่จะได้เห็นกันง่ายๆ

"เวลา 20:00 น." เสร็จสิ้นกิจกรรมส่องสัตว์ในยามค่ำคืนกันแล้ว ผมจึงแยกตัวไปอาบน้ำครับสำหรับที่อาบน้ำผู้ชายเป็นเพียงแค่ผ้าใบขึงและมีถังน้ำตั้งอยู่ตรงกลางประหนึ่งเหมือนของค่ายทหาร ค่าลูกเสือที่ต้องอาบน้ำรวมกันครับ แต่สำหรับผมแล้วมันไม่ใช่ปัญหาครับซึ่งใครที่มาเที่ยวแบบนี้ต้องยอมร้บมันให้ได้ครับ หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วเราก็มานั่งเล่นกันหน้าเต็นท์กันต่อพลางดื่มกันไปด้วย

ที่อุทยานฯยิ่งดึกอากาศเย็นลงมันทำให้ผมนึกถึงกางเกงขายาวที่ผมไม่ได้เอามาด้วยเหลือเกินตอนนี้ เรานั่งดื่มกันไปเรื่อยๆและก็อาศัยฟังเสียงเพลงจากเต็นท์อื่นๆที่เอากีต้าร์มาเล่น 

"เวลา 21:00 น." เจ้าหน้าที่ประกาศให้นักท่องเที่ยวงดใช้เสียงและเตรียมที่จะปิดไฟแต่ก็จะเปิดไว้เป็นบางจุดที่จำเป็นเท่านั้น ทุกอย่างเริ่มเงียบลงแต่ก็ยังมีหลายๆเต็นท์ยังนั่งดื่มกินกันอยู่รวมถึงเราด้วย

แต่เสียงก็ไม่ได้ดังเหมือนช่วงตอนหัวค่ำแล้ว เราสองคนนั่งคุยกันถึงแผนการเดินทางกันในวันพรุ่งนี้ ที่เราจะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่บริเวณรอบๆ รวมถึงแผนการเดินทางกลับกรุงเทพฯด้วย เพราะเราคำนวณจากจำนวนคนแล้วพรุ่งนี้เราต้องเจอกับเหตุการณ์รถติดบนเขาใหญ่แน่ๆ 

"เวลา 22:35 น." เราเดินไปห้องน้ำเพื่อทำการล้างหน้าและแปรงฟันก่อนเข้านอน พอเสร็จก็กลับมาพับเสื่อเก็บจัดข้าวของหน้าเต็นท์ให้เป็นระเบียบก่อนที่เราสองคนจะเข้านอน และตั้งนาฬิกาปลุกตอนตี 5 เพื่อให้ทันไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ราตรีสวัสดิ์ครับ 😴😪

"วันที่ 11 ธันวาคม 2559 เวลา 05:00 น." เราตื่นขึ้นพร้อมกับอากาศที่หนาวเย็นถึงขนาดควันออกปากเราสองคนเลือกที่จะเก็บเต็นท์กันตอนเช้ามืดนี่เลยครับจะได้ไม่เสียเวลาในการเดินทางด้วย เราสองคนช่วยกันเก็บเต็นท์เสร็จเราก็มุ่งหน้าสู่ "ผาเดียวดาย" ซึ่งเราสองคนตั้งใจจะไปให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นให้ได้

"เวลา 05:45 น." จากความตั้งใจแรกที่จะไปให้ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นแต่เห็นเวลาแล้วไม่ทันแน่ๆเลยแต่ถึงยังไงก็ต้องไปให้ถึงให้ได้ ระยะทางจากลานกางเต็นท์เขาร่มถึงผาเดียวดายประมาณ 13 กิโลเมตรครับ เราไม่รอช้ารีบไปกันเลย

"เวลา 06:15 น." และแล้วเราก็เดินทางมาถึงจุดหมายของเรา "ผาเดียวดาย"

ในเมื่อมาถึงแล้วเราก็เดินเท้าต่ออีกนิดตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติเพื่อไปยังหน้าผาที่สูงชันอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 900 เมตรโดยประมาณครับ 

ตอนที่เรามาถึงที่ "ผาเดียวดาย" พระอาทิตย์ก็ขึ้นเสียแล้วแต่มันก็ไม่สายเกินไปหรอกครับที่จะสัมผัสอากาศยามเช้าอันบริสุทธิ์

เราก็ยังได้เห็นพระอาทิตย์นิดหน่อย บริเวณผาเดียวดายเป็นหน้าผาที่สูงชันและคับแคบแถมไม่มีรั้วกั้นด้วยใครมีโอกาสได้ไปก็ระวังด้วยนะครับ 

"เวลา 06:30 น." นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยมากันเรื่อยๆ เราสองคนก็รีบเก็บภาพความประทับใจให้มากที่สุด

การถ่ายรูปของเราทริปนี้มันช่างเป็นอะไรที่อึดอัดใจเป็นอย่างมาก ทำให้อารมณ์ในการถ่ายรูปของเรามีน้อยลง ไม่ว่าจะหันเลนส์กล้องไปทางไหนก็เต็มไปนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด

ภาพความพยายามในการถ่ายรูปป้าย "ผาเดียวดาย" กว่าป้ายนี้จะว่างลงผมต้องยืนรอนานมากๆ แต่ความพยายามของผมมันก็สัมฤทธิ์ผลจนได้ครับ

พอเราถ่ายรูปกันจนหนำใจแล้วเราก็เดินกลับไปที่รถเพื่อเดินทางกลับกันครับ

"เวลา 07:00 น." เราเดินทางออกจากผาเดียวดายเนื่องจากเรายังมีอีกหลายอย่างที่จะต้องทำกัน แต่ระหว่างทางเราก็แวะไหว้สักการะ "ศาลเจ้าพ่อเขาเขียว" ซึ่งอยู่ระหว่างทางขึ้นไปยังผาเดียวดาย

หลังจากสักการะศาลเจ้าพ่อกันแล้วเราก็ขับรถต่อไปยังทุ่งหญ้าสีเขียวขจีที่อยู่ข้างหน้านี้กันต่อครับแล้วจอดรถแวะถ่ายรูปกันก่อน

รูปคู่ก็มา ฮ่าๆ เสร็จจากรูปคู่ต่อไปก็ภาพเดี่ยวบ้างครับ ต้องขอบอกก่อนเลยนะครับว่าไม่ใช่แค่เราเท่านั้นที่แวะถ่ายรูปกับทุ่งหญ้าข้างทาง อยากบอกว่ามีหลายคนครับ อิอิ

แวะถ่ายรูปข้างทางกันแล้วเราก็มุ่งหน้ากลับไปยังลานกางเต็นท์เขาร่มกันอีกครั้งเพื่อนำเสื่อที่เช่ามาไปคืนและรับบัตรประชาชนกลับคืนมา ต่อจากนั้นเราจะมุ่งหน้าไปยัง "น้ำตกเหวสุวัต" แต่ก่อนที่เราจะไปยังน้ำตกเราสองคนก็แวะถ่ายรูปกันที่อ่างเก็บน้ำที่อยู่ใกล้ๆบริเวณที่เรากางเต็นท์

"เวลา 08:30 น." หลังจากแลกบัตรคืนแล้วแวะถ่ายรูปที่อ่างเก็บน้ำแล้วเราก็ไม่รอช้าที่จะมุ่งหน้าไปกันที่ "น้ำตกเหวสุวัต"กันต่อครับจากลานกางเต็นท์เขาร่มไปยังน้ำตกระยะทางประมาณ 17 กิโลเมตรเห็นจะได้ครับแต่เนื่องจากระหว่างทางที่ไปนั้นรถค่อนข้างเยอะทำให้เราใช้เวลาในการเดินทางพอสมควรครับ

"เวลา 09:15 น." เราเดินทางมาถึง "น้ำตกเหวสุวัต" กันแล้ว

จากตรงนี้เราต้องเดินเท้าเพื่อไปยังด้านล่างของน้ำตกอีกประมาณ 200 เมตรครับ ระหว่างทางเดินลงไปด้านล่างก็มีจุดชมน้ำตกซึ่งจะเห็นน้ำตกได้เต็มตาผ่านแมกไม้ที่เปิดช่องให้เห็นตัวน้ำตกอย่างสวยงาม

เราเดินลงไปยังด้านล่างกันต่อเพื่อที่จะได้เห็นน้ำตกกันแบบชัดๆ เต็มๆตา อย่างที่บอกครับต้องลงบันไดไปอีก 200 เมตร

นี่ก็เป็นภาพ "น้ำตกเหวสุวัต" แบบเต็มๆตาครับ ถ้าเรามาในช่วงน้ำหลากบริเวณน้ำตกก็จะเต็มไปด้วยละอองน้ำครับแต่แค่นี้ก็สวยแล้วครับ

เราอยู่ถ่ายรูปวิวน้ำตกกันสักพักก็เดินกลับขึ้นไปยังด้านบนเพื่อเตรียมที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯกันต่อไปครับ และเมื่อเดินขึ้นมาจนถึงด้านบนเราก็ได้สอบทางเส้นทางกลับกรุงเทพฯ จากพวกพี่ๆเจ้าหน้าอุทยานฯ พวกพี่ๆเขาแนะนำให้กลับทางถนนมิตรภาพเส้นเดิมที่เราเดินทางตอนขามานั้นแหละ เพราะถึงจะกลับทางจังหวัดนครนายกจะใกล้กว่าก็จริงแต่ถนนค่อนข้างเล็กและรถติดกว่า เมื่อได้สอบทางเส้นทางขากลับกันแล้วเราก็เดินไปที่ห้องน้ำเพื่อจัดการภารกิจส่วนตัวก่อนเดินทางกลับกัน หลังจากที่จัดการภารกิจส่วนตัวกันจนเสร็จแล้ว เราก็ไปสังเกตเห็นป้าย

"น้ำตกผากล้วย" ซึ่งเราต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 2.8 กิโลเมตร และเราก็ไม่พลาดที่จะเดินไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติเพื่อเข้าไปชมความงามของน้ำตกแต่พอเดินไปสักพักตลอดเส้นทางไม่มีผู้คนเดินร่วมทางมากับเราเลยเราจึงตัดสินใจที่จะไม่ไปกันต่อ เราเดินมาถึงเพียงแค่จุดข้ามลำธารที่เจ้าหน้าที่อุทยานฯได้ขึงลวดสลิงไว้

ผมลองเดินข้ามเล่นเฉยๆนะ เห็นแล้วอยากลองเดินข้ามดู ลองคิดดูว่าถ้าในช่วงน้ำหลากคงจะหวาดเสียวและอันตรายน่าดู อีกทั้งคนที่จะข้ามจากตรงนี้ก็น่าจะต้องแข็งแรงพอสมควรครับไม่งั้นตอนที่สลิงโยกไปมาหล่นแน่ๆครับ

เมื่อไม่มีคนเดินทางไปยัง "น้ำตกผากล้วยไม้" กับเรา เราก็เดินทางกลับมายังที่ลานจอดรถเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพฯกันต่อครับ

"เวลา 10:30 น." ได้เวลาเดินทางกลับกรุงเทพฯ กันแล้ว เราเดินทางออกจากน้ำตกเหวสุวัต มุ่งหน้าตรงสู่กรุงเทพฯ แต่เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวมาเป็นจำนวนมากทำให้เส้นทางภายในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีรถติดเป็นระยะๆ

ขับมาสักพักเราก็เข้าเขตอำเภอปากช่องกันละ พอพ้นจากตรงนี้ไปรถก็ไม่ค่อยติดละครับ แต่จะมีติดบ้างถ้าบริเวณนั้นใกล้จุดชมวิวและสถานที่ท่องเที่ยวในอุทยานฯ ระหว่างทางที่เราขับรถออกมาก็จะมีป้ายบอกเตือนนักท่องเที่ยวเป็นระยะๆว่า "ห้ามให้อาหารสัตว์ป่า" แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มบางคนจอดรถเอาให้อาหารให้ลิง

ซึ่งเราไม่เข้าใจเหมือนกันว่าไม่เข้าใจภาษาไทยหรือยังไง อีกทั้งการทำแบบนี้มันเป็นการทำร้ายสัตว์ป่าทางอ้อมเลยนะเพราะจะทำให้มันไม่รู้จักหาอาหารกินเองและก็จะออกมารออาหารจากนักท่องเที่ยวตลอดสองข้างทางซึ่งเราเห็นลิงออกมารอกันเยอะมาก

"เวลา 11:15 น." เราเดินทางมาถึงประตูทางออกอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งตรงเป็นประตูนั้นเป็นที่ตั้งของ "ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่" ที่ตอนแรกเรากะจะแวะไหว้สักการะกันแต่เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากมายจึงทำให้บริเวณศาลรถติดเราจึงไม่ได้แวะที่ศาล ตรงทางประตูทางออกมีจุดรับของที่ระลึกจากอุทยานฯ หากใครนำขยะตั้งแต่ 1 กิโลขึ้นไปลงมาแลก ผมว่ามันเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมมากเลยครับ อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ไปในตัวด้วยครับ พอลงมาถึงทางออกด้านล่างก็เกิดอาการหิวขึ้นมาทันทีเราจึงไม่รีรอที่จะหาร้านข้าว

เราแวะกินข้าวกันที่ "ร้านครัวแม่พลอย" เมื่อถึงแล้วก็จัดการสั่งอาหารกันเลยครับ

รายการอาหารของเราในมื้อนี้มีดังนี้ครับ ส้มตำไทย , ต้มยำไก่บ้าน , ปลาทับทิบทอดกระเทียม และไก่ย่าง ต้องยกนิ้วให้เลยครับเพราะอร่อยทุกเมนูเลยครับ เติมพลังก่อนขับรถยาวครับ

"เวลา 12:00 น." เราเดินทางกลับโดยใช้เส้นทางของถนนมิตรภาพใช้เวลาราวๆ 2 ชั่วโมงเศษๆ

"เวลา 14:15 น." เราเดินทางกลับมาถึงกรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพถือว่าเป็นการปิดทริปครั้งแรกของเราที่เขาใหญ่อย่างสมบูรณ์แบบครับ

"สิ่งที่ต้องเตรียมตัวเตรียมใจไปในทริปนี้"

  • ไฟฉาย ตะเกียง แบตสำรอง ให้พร้อม
  • ถ้าขี้หนาวต้องเสื้อกันหนาวสัก 2 ตัว
  • ถ้าไปช่วงเทศกาลต้องทำใจในทุกเรื่องโดยเฉพาะห้องน้ำ
  • ศึกษาเส้นทางให้ดีก่อนออกเดินทาง
  • สัญญาณมือถือมีแต่ก็ควรทำใจไว้บ้าง
  • ปฏิบัติตามกฏของอุทยานฯอย่างเคร่งครัด
  • ใครชอบดื่มเตรียมไปให้พร้อมเพราะข้างในไม่มีขาย
  • ถ้าคนเยอะให้เลือกที่จอดรถดีๆ และออกง่ายๆ ไม่งั้นไปไม่ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นแน่นอน
  • ทนเสียงเด็กร้องยามค่ำคืนได้
  • ทนกับกลิ่นปิ้งย่างของเต็นท์ข้างๆได้ดี
  • ขยะสามารถเอามาแลกของที่ระลึกได้

"รูปภาพส่งท้ายทริปเขาใหญ่"

ทุกๆครั้งที่เราจะได้เที่ยว ได้ออกเดินทางมันเหมือนเป็นการได้เปิดโลกกว้างของเราสองคน อีกทั้งเป็นการตอบแทนตัวเองหลังจากทำงานมาเหนื่อย และสิ่งที่อยู่ในหัวของเราในการท่องเที่ยวก็คือ "ประเทศไทยมีทุกอย่างยกเว้นหิมะ"

แล้วพบกันใหม่ในการเดินทางครั้งต่อๆไปของเราเพราะเราจะไม่หยุดในขณะที่เรายังมีแรง !!!

             ____******____สวัสดี____******____

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น