วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2559

จันทบุรี ดินแดนรวมญาติกู้ชาติไทย

""สวัสดี เพื่อนๆพี่ๆและบรรดาน้องๆที่เคารพรักทุกท่าน เรากลับมาแล้วครับ "เที่ยวทั่วไทยไปได้ทุกเดือน" ครั้งนี้เรามีแผนเดินทางไปเที่ยวจังหวัดทางภาคตะวันออกของประเทศซึ่งจริงๆเราวางแผนไว้นานแล้วแต่เนื่องด้วยเวลาทำให้เราไม่มีเวลาที่จะไปและเมื่อจัดสรรเวลาได้เรียบร้อยก็อย่ารอช้าครับเดินทางไปกันเลยดีกว่า


เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯเวลาประมาณ 8 นาฬิกาเศษเพื่อมุ่งหน้าสู่จังหวัดทางภาคตะวันออกนั่นก็คือ "จังหวัดจันทบุรี" ดินแดงที่เต็มไปด้วยผลไม้ พลอย โฮมสเตย์ และแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมาย และนี่เป็นครั้งแรกที่เราเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวมันดีตรงที่ว่ามีความเป็นส่วนตัวและรวดเร็วจะไปไหนก็ได้ตามใจเรา เราใช้เวลาเดินมาทางประมาณ 4 ชั่วโมงเศษในการเดินทางมาถึงโรงแรมที่เราทำการจองไว้ ต้องบอกก่อนนะครับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราเดินทางมายังที่นี่ทั้งๆที่เราไม่รู้เลยว่าไปยังไง ถนนหนทางเป็นแบบไหน แต่ก็ถือได้ว่าเราใช้เวลาในการเดินทางครั้งนี้ได้รวดเร็วกว่าที่เราคิดเอาไว้ได้มากเลยที่เดียว
""เวลา 12.15 น. เราเดินทางมาถึงที่พักจนได้ บอกตรงๆเลยว่าเมื่อยมาก อยากนอน อยากพักผ่อน แต่ ณ ตอนนั้นยังไม่ถึงเวลาที่ทางโรงแรมให้เช็คอิน เราเลยตัดสินใจที่จะเดินสำรวจบริเวณรอบๆที่เราพัก และเที่ยวชมตามสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้ๆบริเวณที่พัก ซึ่งเราก็ได้สอบถามจากทางพนักงานว่ามีสถานที่ใดน่าสนใจบ้าง ทางด้านพนักงานแนะนำให้เราไปเที่ยวชม "โบสถ์คาทอริค" ที่อยู่ใกล้ๆที่พักและชุมชนแห่งนี้ซึ่งอยู่ห่างจากที่เราพักประมาณ 800 เมตรเท่านั้นเอง ในระหว่างทางที่เราเดินไปโบสถ์นั้นเราก็ได้สัมผัสบรรยากาศของชุมชน "ริมน้ำจันทบูร" ซึ่งถือว่าเรียบง่ายและยังคงวิถีดั้งเดิมเดิมไว้ ตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้




คนที่นี่เขายังรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมเอาไว้ได้อย่างดี ซึ่งมันทำให้เรารู้ว่าบางทีความเจริญมันก็ไม่ได้มีความจำเป็นมากสำหรับชีวิต "Slow Life" ของคนในชุมชนแห่งนี้ ระหว่างทางที่เราเดินไปโบสถ์นั้นเราจะเห็นคนในชุมชนรวมกลุ่มนั่งคุยกัน ทำกิจจกรรมตามชีวิตประจำวัน


พวกผู้ชายเสร็จจากภารกิจประจำวันพวกเขาก็มานั่งสนทนากัน นั่งเล่นหมากรุกท้าทายความสามารถ ลองเชา และรับสมองประลองปัญญากัน วิถีชีวิตแบบนี้แหละที่มันกำลังจะหายไปจากสังคมไทย นับวันยิ่งหาดูได้ยาก รวมถึงสถาปัตยกรรม อาคารบ้านเรือนในชุมชนแห่งนี้ยังคงไว้ซึ่งความคลาสสิค เป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ถ้าใครเคยได้เที่ยวจะสังเกตได้ว่าชุมชนที่อยู่บริเวณริมแม่น้ำนั้นจะมีลักษณะคล้ายๆกันไม่ว่าจะเป็นที่ "เชียงคาน สามชุก อัมพวา" แต่จากการที่ผมได้นั่งเสวนากับคนในพื้นที่ของชุมชนริมนน้ำจันทบูรแล้ว พวกเขาต้องการที่จะรักษาความเป็นดั้งเดิมไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะว่าถ้าความเจริญเข้ามาพวกเขาจะใช้ชีวิตกันลำบากขึ้นกว่าเดิมและการแข่งขันก็จะสูงขึ้นซึ่งพวกเขาไม่ต้องการ


หลังจากเสร็จสิ้นการเสวนาแล้วผมก็เดินทางมาถึงโบสถ์แล้วซึ่งเราทั้งสองคนเห็นแล้วถึงกับทึ่งเลยเพราะไม่คิดว่าจะมีสถาปัตยกรรมแบบนี้อยู่ในชุมชนที่มีความเป็นดั้งเดิมอยู่


นี่เป็นสะพานข้ามแม่น้ำทึ่จะเดินทางไปยังโบสถ์ครับแต่ผมว่าดูไกลๆแล้วเหมือน "ดิสนี่แลนด์" มากๆ เราสองคนเห็นครั้งแรกก็ถือว่าน่าตื่นตาตื่นใจมากครับ เราเลยเลือกที่จะเก็บภาพบริเวณรอบๆให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเก็บไว้ในความทรงจำของเราได้

 


เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับความวิจิตร งดงาม ของสถาปัตยกรรมในย่านชุมชนริมน้ำจันทบูร ซึ่งผสมผสานกันอย่างลงตัว เราเดินกลับไปยังโรงแรมเพื่อจะทำการ check in อีกครั้งระหว่างที่เราเดินไปและเดินกลับนั้นด้านสองข้างทางเราจะพบเห็นตึกเก่าๆ ซึ่งสะท้อนถึงความเจริญในยุคอดีตของที่นี่ และรูปทรงของแต่ละตึกนั้นก็ชวนแปลกตากว่าชุมชนอื่นๆที่ผมเคยเดินทางไปเยี่ยมเยียนมา เพราะสถาปัตยกรรมที่นี่ได้รับอิทธิพลจากประเทศฝรั่งเศสสมัยที่ฝรั่งเศสล่าอาณานิยมและยึดเมืองจันทบุรีเป็นประกัน


อย่างที่ตรงนี้เคยเป็นสถานที่ถ่ายโฆษณาตัวหนึ่งซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่าเป็นโฆษณาของอะไรรู้เพียงแต่ว่าใช้เพลงของ "จ๊อบ บรรจบ" เป็นเพลงประกอบ นั่งท่องเที่ยวหลายคนเลือกที่จะถ่ายรูปจุดนี้เยอะพอสมควร เราก็เช่นกัน เดินมาสักระยะเราก็เดินทางมาถึงที่โรงแรม แต่เนื่องด้วยเวลาในตอนนั้นเพิ่งจะ 12:45 น. ซึ่งยังไม่ถึงเวลาเช็คอินเราสองคนจึงฝากกระเป๋าไว้ก่อนและออกเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆก่อนจะได้ไม่เสียเวลา
""เวลา 13:00 น. เราเดินทางออกจากโรงแรมไปยังสถานที่ท่องเที่ยวทึ่เราแพลนไว้นั่นก็คือ "น้ำตกพลิ้ว โอเอซิส ซี เวิร์ล ตึกแดง และคุกขี้ไก่" เราขับรถมาเรื่อยๆแต่ด้วยความไม่คุ้นชินกับเส้นทางทำให้เราขับรถเลยทางเข้า "น้ำตกพลิ้ว" และเลยมายังอำเภอแหลมสิงห์ เราจึงไปเที่ยวชมสถานที่อื่นๆก่อนเลยก็แล้วกัน ขับไปดูป้ายบอกทางไปจนทำให้เราเดินทางมาถึง "ตึกแดง" จนได้ รอช้าอะไรลงไปสำรวจกันเลยครับ


เราเดินสำรวจภายในตึกแดง เราจึงเขาประวัติของตึกแดงมาฝากกันครับ ลองอ่านดูนะครับว่ามันมีความสำคัญแค่ไหนในห้วงเวลานั้น และทำไมจึงต้องสร้างตึกแดงขึ้นมา................!!!!

""ตึกแดง แหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของจังหวัดจันทบุรี เป็นประวัติอันขมขื่นของคนไทยที่เมืองจันทบุรีอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสถึง 11 ปี (พ.ศ.2436 – 2446) สถานที่แห่งนี้มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน กว่าจะมาเป็นเมืองจันทบุรี และเป็นไทยอยู่ทุกวันนี้บรรพบุรุษของเราต้องแลกกับเลือดเนื้อ ดินแดน และทรัพย์สิน

""ตึกแดง และ คุกขี้ไก่ สร้างขึ้นโดยฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. 2436 ในยุคของอินโดจีนฝรั่งเศส หรือ วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ในสมัยนั้นฝรั่งเศสได้แผ่อาณานิคมเข้ามาที่ลาว กัมพูชา เวียดนาม และได้หาเรื่องรุกรานไทยโดยอ้างว่า ดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงคือ อาณาจักรลาวเกือบทั้งหมด ฝรั่งเศสได้บุกเข้ามาที่กรุงเทพฯ เพื่อต้องการดินแดนส่วนนี้ กับพื้นที่ในจังหวัดตราด และยังต้องการค่าเสียหายอีกเป็นจำนวนถึง 3 ล้านฟรังก์เหรียญทอง หรือราว 1.56 ล้านบาทในขณะนั้น


""ในขณะที่ไทยยังไม่สามารถยกดินแดนที่ฝรั่งเศสต้องการ และ ฝรั่งเศสยังไม่ได้รับค่าเสียหาย ฝรั่งเศสก็เลยใช้วิธียึดเมืองจันทบุรีไว้เป็นตัวประกัน ฝรั่งเศสได้สร้างตึกแดง เป็นตึกเล็กชั้นเดียว ขนาด 7 x 32 ตารางเมตร มีห้องภายในอยู่ 5 ห้อง ไว้เป็นที่บัญชาการ และที่อยู่อาศัยของทหารฝรั่งเศส – ญวณ ด้านนอกทาสีแดงเข้ม ที่ตั้งของตึกแดงอยู่ที่ป้อมพิฆาฏปัจจามิตรซึ่งเป็นป้อมปืนเก่าแก่ในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยฝรั่งเศสได้รื้อเอาป้อมพิฆาฏปัจจามิตรออกแล้วสร้างตึกแดงในที่ตรงนั้น มีการนำวัสดุบางอย่างของป้อมพิฆาฏปัจจามิตรมาใช้ในการสร้างดึกแดงด้วย ฝรั่งเศสใช้งานดึกแดงเป็นที่บัญชาการจนถึงปี พ.ศ. 2447 จนได้สิ่งที่ต้องการจนครบไม่ว่าจะเป็นดินแดนที่เคยเป็นเมืองขึ้นของไทย และเงินค่าเสียหายที่ฝรั่งเศสเรียกร้อง มีบันทึกไว้ว่าเงินในท้องพระคลังสมัยนั้นถึงกับหมดเกลี้ยง

""ในปี พ.ศ. 2557 ได้มีการปรับปรุงตึกแดงให้เป็นอาคารห้องสมุดและศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนของ อ.แหลมสิงห์ ต่อมาได้ถูกยกเลิกและทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยว

และนี่ก็คือประวัติคร่าวๆของตึกแดงที่เราเอามาฝากกันครับ......เราเดินสำรวจข้างในกันนิดหน่อยเพราะในตึกแดงที่มีทั้งหมด 5 ห้องนั้นได้มีการเปิดให้ได้เข้าไปชมเพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้น



นี่คือปืนใหญ่ที่จัดแสดงในห้องโถงของตึกแดงครับ แต่อีกหนึ่งสถานที่ที่เราขับรถผ่านไปผ่านมาจนขี้เกียจหาและเป็นอีกจุดหนึ่งที่อยู่คู่กับตึกแดงนั่นก็คือ "คุกขี้ไก่" พลาดแล้วพลาดเลยครับ ดังนั้นเราจึงเดินทางไปยังอีกสถานที่ถัดไป ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีอยู่ในจังหวัดจันทบุรีด้วยนั้่นก็คือ "โอเอซิส ซี เวิร์ล" เป็นแหล่งแสดงพันธุ์สัตว์น้ำทางทะเล และที่สำคัญมีการแสดงปลาโลมาแสนรู้ซะด้วย อันนี้ต้องบอกก่อนเลยนะครับว่าถ้าเราไม่ศึกษาแหล่งสถานที่ท่องเที่ยวเราก็จะไม่รู้เลยว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวลักษณะเช่นนี้อยู่ด้วย


เดินทางมาถึงทางเข้าจนได้ ทางเข้ามายัง "โอเอซิส ซี เวิร์ล" ค่อนข้างสับซ้อนพอสมควรครับต้องช่วยกันสังเกตุป้ายบอกทางให้ดีๆครับเพราะจะมีบอกเป็นระยะๆ เรามีรายละเอียดของ "โอเอซิส ซี เวิร์ล" มาฝากครับ จะได้กะเกณฑ์เวลาไปเที่ยวกันได้ถูกครับ
""โอเอซิส ซี เวิร์ล"
ตั้งอยู่ อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี โดยมีการเปิดการแสดงของปลาโลมา เปิดให้เข้าชมทุกวัน วันละ 5 รอบ
"รอบการแสดงปลาโลมาแสนรู้
- 9:00 น. , 11:00 น. , 13:00 น. , 15:00 น. , และรอบสุดท้ายที่เวลา 17:00 น.
""อัตราค่าบริการ บัตรผ่านประตู
- คนไทย (ผู้ใหญ่)          = 130 บาท
- เด็ก                           =  80  บาท
- ชาวต่างชาติ (ผู้ใหญ่)  =  300 บาท
- เด็ก                           =  200 บาท
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 039-499222 , 039-363238 , 091-7838282 หรือที่
www.oasisseaworld.net
เราเดินทางมาถึงที่นี่เวลาประมาณ 14:00 น. เราก็เดินไปที่จำหน่ายตั๋วครับ เพื่อไปรอชมการแสดงในช่วงที่เรารอชมการแสดงนั้นเราก็เดินดูรอบๆบริเวณ "โอเอซิส ซี เวิร์ล" เพื่อฆ่าเวลาในการรอคอยการแสดงของปลาโลมาแสนรู้ เดินไปชมปลาหมอยักษ์ซึ่งตัวใหญ่และน่ากลัวมากครับเห็นแล้วอดขนลุกมิได้ครับ เดินถัดไปอีกก็เราก็เห็นเด็กๆกำลังให้อาหารปลาคราฟอยู่ เป็นการให้อาหารโดยให้ปลาดูดขวดนมเด็กครับ เราสองคนก็เพิ่งเห็นที่นี่เป็นที่แรกครับ ดูแล้วเด็กๆสนุกสนานกันใหญ่เลย


และก็เดินถัดมาจากให้อาหารปลาคราฟก็มีสระน้ำกว้างใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่เอาไว้ฝึกปลาโลมาครับ ผมเห็นปลาโลมาแวกว่ายน้ำอยู่ เลยรีบเดินเข้าไปดูการฝึกสอนของเจ้าหน้าที่ที่นั่น


สถานที่ฝึกสอนปลาโลมา ที่นี่เขาแบ่งกั้นออกเป็น 3 บ่อเล็กๆครับ แยกกันสอนเหมือนเป็นการแยกชั้นเรียนตามลำดับความสามารถของปลาแต่ละตัวครับ


ตัวนี้มันกระโดดขึ้นมาเองนะครับเจ้าหน้าที่เขาไม่ได้ทรมานมันนะครับ ผมสอบถามเจ้าหน้าที่เขา พี่เขาบอกว่าตัวนี้น่าจะแก่ที่สุดแล้วมั้งครับ พี่เขาบอกว่าปลาโลมาตัวนี้อยู่ที่นี่มาแล้ว 25 ปีแล้วครับซึ่งถือว่ายาวนานมากครับสำหรับวงจรชีวิตของสัตว์ ส่วนอีก 2 บ่อที่เหลือผมไม่ได้เดินไปถ่ายรูปนะครับเพราะพี่เขากำลังฝึกสอนอยู่และเจ้าปลาโลมามันก็พ่นน้ำใส่นัวกท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปผ่านมาแบบว่ากวนมากอ่ะครับ เดินไปเดินมา......เหลือบมองนาฬิกานี่มันเกือบได้เวลาแสดงปลาโลมาที่เรารอคอยแล้ว บอกตรงๆเลยนะครับว่าผมนี่ตื่นเต้นมากๆเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน ก่อนเข้าก็หาซื้อขนมขบเคี้ยวไว้กินแล้วดูแบบเพลินๆแต่ถึงเราไม่ซื้อเข้าไปก็จะมีคนเข้ามาเดินขายให้ถึงที่นั่งเลยครับ


และนี่เป็นสังเวียนการแสดงสดของปลาโลมาแสนรู้ครับ ดูจากภาพก็เริ่มมีผู้ชมเข้าไปจับจองที่นั่งที่เหมาะสมและมุมในการชมที่ดี ใครไปก่อนได้เปรียบ 5555+ ยิ่งเวลางวดเข้าใกล้การแสดงเข้าผู้คนก็เริ่มทยอยเข้ามาเรื่อยๆและเริ่มหนาตาขึ้นถนัดตาเลยครับ ส่วนใหญ่มากันแบบครอบครัว


และแล้วเวลาของการแสดงก็เริ่มขึ้นครับ มีการเปิดเพลงเพื่อสร้างอรรถรสในการชมไม่ให้เงียบเหงาจนเกินไป มีการภากษ์เพื่อสร้างความตลกขบขัน และขั้นจังหวะในการแสดงเป็นช่วงๆ ลืมบอกไปอย่างหนึ่งครับสำหรับปลาโลมาที่นี่มีทั้งหมด 14 ตัวและมีด้วยกัน 2 สายพันธุ์ คือ "โลมาอิรวดี หรือ โลมาหัวบาตร และโลมาปากขวด" ซึ่งทั้งสองสายพันธุ์นี้ก็จะมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดครับ "โลมาอิรวดี หรือ โลมาหัวบาตร" จะมีลักษณะหัวกลมโตเหมือนบาตรพระนั่นเอง , ส่วน "โลมาปากขวด" มีลักษณะปาดกเรียวยาวเหมือนขวดตัวจมีสีชมพูด้วย การแสดงใช้เวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมงเต็ม ไปดูภาพการแสดงที่เราเก็บมาฝากกันเลยครับ





นี่เป็นการแสดงบางส่วนที่ผมสามารถบันทึกเก็บเป็นภาพถ่ายไว้ได้เนื่องจากแบตเตอรี่โทรศัพท์ของเราทั้งคู่หมดจึงมีภาพมาฝากแต่เพียงเท่านี้ ยังมีการแสดงอีกหลายชุดที่น่าตื่นตาตื่นใจมากครับ เรานี่ทึ่งนะครับในการควบคุมและออกคำสั่งปลาโลมา โดยการตีที่น้ำและให้สัญลักษณ์มือปลาโลมาก็ทำตามคำสั่งแล้วเพื่อแรกกับปลาตัวเล็กเป็นรางวัล การแสดงจบลงเวลาประมาณ 16:00 น. เราสองคนก็เดินทางกลับที่พักหลังจากเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวันแล้ว เราใช้เวลาสักพักในการเดินทางมาถึงที่โรงแรม คืนแรกเราพักกันที่นี่ครับ


"โรงแรมท่ามาจัน" เป็นโรงแรมที่อยู่คู่ชุมชนนี่มานานแล้วแบ่งเป็น 2 ตึกคนละฟากถนนลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาพักก็จะเป็นชาวต่างชาติซะส่วนใหญ่ พนักงานที่โรงแรมแต่งตัวน่ารักดีครับนุ่งผ้าถุงกับเสื้อลายลูกไม้ ขั้นตอนการเช็คอินก็เหมือนโรงแรมทั่วๆไป พนักงานพาเราไปส่งที่ห้อง เราได้ห้องพักทางฝั่งติดแม่น้ำจันทบุรี มี Wifi รวมอาหารเช้าด้วย น้องพนักงานก็อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกค้าควรจะรู้ หลังจากเก็บข้าวของเสร็จ เราก็เดินลงมาสำรวจบริเวณโดยรอบของโรงแรม เราจึงมีบรรยากาศภายในโรงแรมมาฝากครับเผื่อใครมีโอกาสได้ไปพักที่นี่



นี่เป็นห้องนอนที่เราจะนอนกันคืนนี้ครับและก็ระเบียงนั่งชมบรรยากาศริมแม่น้ำเป็นระเบียงรวมนะครับ อารมณ์เหมือนนอกชานบ้านเราอ่ะครับ ดูห้องดูระเบียงกันแล้วมาดูบริเวณห้องอาหารและ Lobby กันบ้างดีกว่าครับ




ภาพบริเวณ Lobby และห้องอาหารของที่นี่ครับ.......ห้วงเวลาก็ผ่านมาจนถึงเย็นแล้วเรายังไม่ได้กินอะไรกันอย่างจริงจังเลยเราจึงขอยืมจักรยานที่โรงแรมและปั่นออกไปหาอะไรกินตามบริเวณรอบตัวเมืองกันครับ มื้อนี้กะกินรองท้องไว้เฉยๆ แล้วค่อยเน้นหนักกันตอนค่ำคืนกันทีเดียว ปั่นไปปั่นมาเริ่มเมื่อยก็เลยตกลงปลงใจกินก๋วยเตี๋ยวหน้าไปรษณีย์กันนี่แหละครับ เพราะเหนื่อยและล้ามากแล้ว


มื้อแรกที่ผมได้กินในวันนี้ดูเอาแล้วกันครับว่าหน้าตาเหนื่อยล้ามากแค่ไหน กิน กิน กิน จะได้ไปพักผ่อนนอนหลับสักที พอกินหมดก็มุ่งตรงไปร้านขายยาในตลาดเนื่องผมไม่ค่อยสบายมีไข้ขึ้นนิดหน่อยเกรงว่าวันต่อไปจะไม่ไหวต้องกันไว้ก่อน ต้องบอกก่อนเลยนะครับร้านค้าในตัวเมืองส่วนใหญ่จะหยุดกันวันอาทิตย์ซะเป็นส่วนใหญ่แต่ก็จะมีเปิดบ้างนิดหน่อยต้องคอยสอบถามคนในพื้นที่ครับ แต่ที่เปิดแน่ๆคือถนนที่มีการค้าพลอย หลังจากได้ของได้ยาครบเราก็เดินทางกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อนแต่ระหว่างทางเราก็แวะซื้อโรตีมากินกัน 2 อันร้านอยู่ตรงปากซอยโรงแรมที่ผมพักกันนั่นแหละครับมีหลากหลายให้เลือก คนที่นี่บอกว่าอร่อยมากเลยต้องลองสักหน่อย อ่อๆคนแถวนี้เขาเรียกว่า "โรตีกลม" เพราะเขาทำเป็นแผ่นกลมๆ กลับห้องกันดีกว่าไม่ไหวแล้วเหนื่อย อยากนอนพักผ่อนเอาแรงไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ครับ พอกลับถึงห้องก็อาบน้ำนอนพักผ่อนสักพักแล้วค่อยออกไปหาอะไรกินที่ห้องอาหารของโรงแรมนั่นแหละขี้เกียจเดินออกไปไกล เมนูวันนี้ก็คือ ลุ้นๆ


ตามภาพครับก็มีปลาทูฟูและอีกอย่างอะไรก็ไม่รู้เหมือนกันครับแฟนผมเป็นคนสั่ง ดูเอาครับช้อนไม้ ปิ่นโต ผ้าปูโต๊ะเป็นผ้าถุง คลาสสิคไปอีกแบบครับ หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็ได้เวลาย่ำราตรีกันแล้วซิครับคราวนี้เราเดินหาร้านเพื่อนั่งฟังเพลง นั่งดื่ม ตามประสาคนที่มาพักผ่อน หลังจากแบกความเครียดจากกรุงเทพฯมาทิ้งลงแม่น้ำจันทบุรี เราเดินไปถึงท้ายซอยก็มีร้านเยอะแยะมากมายให้เลือกนั่งและก็เต็มไปด้วยวัยรุ่นในพื้นที่ ส่วนใหญ่มานั่งคุยกัน ดื่มน้ำปั่น นม ขนมหวาน ตามประสาวัยรุ่นก็มีทั้งดื่มและไม่ดื่มครับ เราเดินย้อนกลับมายังต้นซอยและก็นั่งกินที่ "ร้านจันดี" นั่งดูบอล ฟังเพลง ดื่มนิดหน่อย ร้านนี้มีวัยรุ่นประจำถิ่นอยู่เยอะ นั่งคุยกันอย่างออกรถออกชาติ แลดูเป็นมิตร มีการยิ้มทักทายแบให้เกียรติซึ่งกันและกัน ทำให้เรารู้สึกว่าความกวนของเราน่าจะปลอดภัยขึ้นมาทันทีเลยครับ 5555+ ร้านต่างๆในบริเวณชุมชนริมน้ำจันทบูรทุกร้านจะต้องปิดตอนเที่ยงคืนเท่านั้นห้ามเกินเวลาเพราะเป็นเขตชุมชน ซึ่งทุกร้านก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่ก็อาจจะมีคนนั่งต่อบ้างแต่ไม่มีการส่งเสียงไปรบกวนบ้านอื่น เรากลับมาจากร้านประมาณตี 1 และแล้วก็อาบน้ำนอนเพื่อเตรียมเดินทางไปเที่ยวในวันพรุ่งนี้อีก

""วันที่ 7 มีนาคม สวัสดีเช้าวันจันทร์ที่หลายๆคนทำงานแต่เราได้หยุดพักผ่อนต่ออีก 1 วัน วันนี้เราวางแผนที่จะเดินทางไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวที่เราไม่ได้ไปเมื่อวานนี้และเดินทางต่อไปพักอีกที่ที่เราจองไว้ เช้าวันนี้เราตื่นกันตอน 7:00 น. จัดการล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำ เสร็จแล้วก็ลงมาทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม ทางโรงแรมมีรายการอาหารให้เลือก 3 แบบคือ ข้าวต้มเครื่อง , ไข่กระทะ , ข้าวผัด เลือกได้แล้วเราก็ทำการสั่งอาหารกับพนักงาน เมนูที่เราสั่งก็มี ข้าวต้มหมูกับข้าวผัด ส่วนเครื่องดื่มก็เป็นจำพวกน้ำส้ม น้ำเปล่า ชา กาแฟ ทั่วๆไปอ่ะครับ ระหว่างนั่งทานอาหารเช้ากันอยู่นั้นผู้จัดการโรงแรมก็มาสอบถามเรื่องที่พักที่โรงแรม และเรื่องทั่วไปเราก็เลยถือโอกาสสอบถามเรื่องการเดินไป "น้ำตกพลิ้ว" อีกสักรอบจะได้ไม่หลงอีก อุ้ยๆลืมๆทานอาหารเช้ากันต่อดีกว่าเดี๋ยวเย็นหมดไม่อร่อยกันพอดี




นี่แหละครับอาหารเช้าของเราในเช้าวันนี้ อาหารที่นี่ขอบอกเลยนะครับว่าอร่อยมากๆ โดยเฉพาะข้าวผัดเนี่ย อร่อยสุดๆไปเลย ข้าวต้มหมูก็ไม่แพ้กัน มีของทานเล่นเป็นปลาท่องโก๋ จิ้มกับน้ำหวานๆคล้ายน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ อร่อยไปอีกแบบครับ เราใช้เวลาสักชั่วครู่หนึ่งในการรับประทานอาหารเช้า หลังจากเสร็จจากการรับประทานอาหารเช้าเราก็ขึ้นไปเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวเช็คเอ้าท์ และเดินทางไปเที่ยวต่อและค่อยเข้าไปพักโรงแรมที่เราจองไว้อีกที่หนึ่ง เราเดินทางออกจากที่พักในชุมชนริมน้ำจันทบูรเวลาประมาณ 9:00 น. เพื่อมุ่งหน้าไปยัง "น้ำตกพลิ้ว" ซึ่งเป็นสถานที่แรกที่เราจะเดินทางกันไปเที่ยวในวันนี้ "น้ำตกพลิ้ว" อยู่ห่างจากตัวเมืองที่เราพักนั้นประมาณ 30 กิโลเมตรใช้เวลา 30 นาทีเห็นจะได้ เลี้ยวเข้าไปจากถนนสายหลัก 3-4 กิโลเมตร เราเดินทางมาถึงที่นี้และจอดรถไว้ด้านล่างเสียค่าจอดรถ 20 บาทแล้วเดินเท้าต่อไปอีก 400 เมตรก็ถึงจุดซื้อตัวเพื่อเข้าไปยังตัวน้ำตก ระหว่างทางเดินที่จะขึ้นไปยังน้ำตกนั้นก็จะมีร้านค้าขายของตลอดแนวเลยครับอยากกินอะไรก็แวะซื้อได้เลยนะครับ


เดินมาถึงทางเข้าตัวน้ำตกแล้วก็ต้องเก็บหลักฐานกันสักหน่อยเดี๋ยวจะว่ามาไม่จริงถ่ายรูปเสร็จแล้วก็ไปซื้อตั๋วกันดีกว่า อัตราค่าตั๋วน่าจะอยู่ที่คนละ 40 บาทเห็นจะได้ไม่แน่ใจต้องขอโทษด้วยนะครับ และจากจุดทางเข้าจะมีรถกอล์ฟไว้ให้บริการไว้สำหรับคนที่เหนื่อยเมื่อยและขี้เกียจเดินสงนราคาคนละ 10 บาทครับ รถจะพาเราไปส่งตรงจุดทางขึ้นน้ำตกเราก็เดินอีกนิดหน่อยก็ถึงครับ ตรงทางขึ้นน้ำตกนั้นจะมีที่ฝากของไว้บริการสำหรับนักท่องเที่ยวครับและอาหารที่คนซื้อของมากินจากร้านด้านล่างขึ้นมากินทางเจ้าหน้าที่ขอสงวนสิทธิ์ในการนำอาหารเข้าไปกินในน้ำตกนะครับ ใครที่จะนำอาหารไปกินที่น้ำตกนั้นหมดสิทธิ์ครับต้องทานตรงทางเข้าเท่านั้นนะครับเพื่อรักษาความสะอาดซึ่งผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความรับผิดชอบสักเท่าไหร่ ส่วนเราไม่มีของอะไรต้องฝากก็เดินไปชมน้ำตกกันเลยดีกว่า



ที่ใดมีป่าที่นั่นต้องมีชายคนนี้ "สืบ นาคะเสถียร" คนคนนี้คือไอดอลของเราเพราะท่านทำให้เราไม่เคยลืมจิตรสำนึกในการอนุรักษ์ เสียสละเพื่อส่วนรวม !!!!!
เราเดินจากทางเข้ามาประมาณ 200 เมตรก็เริ่มได้ยินเสียงน้ำตก อากาศเย็นสบาย พอเดินขึ้นมาด้านบนเราก็จะเจอเจดีย์อลงกรณ์ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 อายุก็ 100 กว่าปีเห็นได้


จากตัวเจดีย์นี้เราไม่สามารถเดินต่อไปได้ต้องเดินลงข้างล่างลัดเลาะลำธารเพื่อไปยังตัวน้ำตกระหว่างทางเราก็จะเจอนักท่องเที่ยวที่มาพักกันมีทั้งมาเป็น ครอบครัว กลุ่มเพื่อน คู่แฟน วันที่ผมนักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ครับอาจจะเป็นเพราะว่าเป็นวันจันทร์ด้วยละมั้ง ระหว่างทางที่เราเดินไปยังน้ำตกเราก็ยังได้พบเห็นฝูงปลาเป็นจำนวนมากและฝูงปลานี่แหละครับที่เป็นไฮไลท์ของที่ ฝูงปลาที่นี่เป็น "ปลาพวง" 

ฝูงปลาพวกนี้มีอยู่แทบจะทุกจุดของสายน้ำแห่งนี้ เราสอบถามเจ้าหน้าที่ว่าปลาพวงนี้สามารถทานได้หรือป่าวเจ้าหน้าที่ให้คำตอบว่าทานได้แต่จะมีฤดูหนึ่งที่ไม่สามารถทานได้เพราะปลาจะกินลูกไม้ที่มีพิษและทำให้เนื้อปลานั้นมีพิษผสมอยู่ด้วยอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ และอีกอย่างที่เราไม่สามารถทำได้แล้วนั่นก็คือการให้อาหารปลาพวงด้วยถั่วฝักยาว ส่วนสาเหตุที่ให้เลิกนั้นมาจากมีเจ้าหน้ามาตรวจสอบและพบว่าการให้อาหารปลาพวงด้วยถั่วฝักยาวนั้นจะทำให้ปลาพวงนั้นปลาบอดเนื่องจากในถั่วฝักยาวนั้นมีสารพิษเจือปนก็คือยาฆ่าแมลงนั่นแหละครับทางเจ้าหน้าที่อุทยานน้ำตกพลิ้วจึงมีคำสั่งให้ร้านค้าบริเวณน้ำตกเลิกขายถั่วฝักยาวแกนักท่องเที่ยว ดูปลาเพลินๆเราก็เดินมาถึงตัวน้ำตกจนได้ครับ


ในช่วงที่เราไปนั้นค่อนข้างแห้งแล้งครับน้ำเลยน้อยอย่างที่เห็นกัน แต่ตรงแอ่งน้ำก็ยังสามารถลงเล่นน้ำได้ไม่ต้องห่วงนะครับเรื่องความปลอดภัยเพราะจะมีเจ้าหน้าที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ตลอดเวลาแต่เพื่อความไม่ประมาทะราก็ควรระวังในการลงเล่นน้ำด้วยนะครับ เดินเยี่ยมชมน้ำตกได้สักพักเราก็เตรียมเดินทางกลับเพื่อไปเที่ยวยังสถานที่อื่นบ้างตอนลงมาเราก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปคู่กับฝูงปลาพวง


เราเดินทางออกจากน้ำตกพลิ้วและมุ่งหน้าไปยัง "อู่ต่อเรือพระเจ้าตากสิน" ซึ่งอยู่ไกลจากน้ำตกพอสมควรครับเพราะต้องเข้าไปจากถนนใหญ่ลึกมากขับรถลัดเลาะและดูป้ายไปตลอดทาง พรางแวะถามคนพื้นที่เพื่อความแน่ใจเพราะไม่อยากจะหลงทางเดี๋ยวจะทำให้เราเสียเวลา ระหว่างทางที่เราขับรถผ่านมาก็จะผ่าน "กลุ่มทอเสื่อจันทบูร" ซึ่งเป็นหัตถกรรมที่ขึ้นชื่อของจังหวัด เราตกลงกันว่าขากลับจะแวะซื้อไว้เป็นของที่ระลึกสักหน่อยไหนๆก็มาละ อุดหนุนคนในชุมชนบ้าง เราขับรถจนมาถึงที่ที่ถูกสันนิษฐานว่าเป็น "อู่ต่อเรือพระเจ้าตากสิน" ซึ่งบริเวณรอบๆกำลังทำการก่อสร้างเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างจริงจัง เรามาดูบรรยากาศโดยรอบกันครับ



ลักษณะภูมิศาสตร์เป็นปากแม่น้ำนั่นแหละครับและเต็มไปด้วยป่าโกงกาง วันที่ผมไปและเวลาที่ไปถึงใกล้เที่ยงแล้วอากาศค่อนข้างร้อนครับ เราใช้เวลาเดินเที่ยวชมรอบๆสักพักหนึ่งครับ



บ่อ 2 บ่อนี้แหละครับที่ถูกสันนิษฐานว่าเป็น "อู่ต่อเรือพระเจ้าตากสิน" ซึ่งจังหวัดจันทบุรีนี่แหละครับที่ "พระเจ้าตากสิน" มารวบรวมไพร่พลเพื่อไปสู้รบกับพวกพม่า เสียเลือดเสียเนื้อปกป้องแผ่นของชาติเพื่อความเป็นเอกราชของชาติเรามิได้เป็นเมืองขึ้นของชาติใด และยังมีศาลไว้ให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมและสักการะขอโชค ขอพรด้วยนะครับ


ใกล้เที่ยงแล้วเราจึงเตรียมตัวไปหาของกินรองท้องกันดีกว่าเพราะว่ากว่าจะถึงที่พักที่เราจองไว้อีกที่หนึ่งก็ไม่รู้ว่าจะไกลแค่ไหน อย่างที่เกริ่นไว้ต้องแต่ตอนที่จะเข้ามาแล้วว่าเราแวะซื้อ "เสื่อจันทบูร" ไว้เป็นของที่ระสึกสีกผืน ขับรถออกมาพรางกันช่วยมองหากลุ่มทอเสื่อและแล้วเราก็ถึงกลุ่มทอเสื่อแล้ว





ผมสอบถามราคาและซื้อมาหนึ่งผืนครับ ครั้งแรกที่ผมได้ยินราคาผมนี่แทบจะไม่อยากซื้อแพงกว่าราคาที่ผมกะไว้เสียอีก ส่วนแฟนผมก็ได้กระเป๋าเพิ่มมาอีกหนึ่งใบ ก่อนกลับผมก็ได้คุยกับลุงป้าที่ทำการทอเสื่อ เขาบอกว่าเมื่อก่อนนี้คนทอเสื่อนั้นทำกันเกิบทุกบ้านเกิบ 200 หลังคาเรือนบ้านทุกบ้านนอนเสื่อกันหมดแหละแต่ปัจจุบันเหลือบ้านที่ทอเสื่อประมาณ 5 หลังคาเรือนในระแวกนี้นะครับ เพราะว่าคนรุ่นใหม่ไม่สนใจที่สืบทอดงานฝีมือพวกนี้ไว้เนื่องจากรายได้ไม่พอยังชีพในยุคปัจจุบันซึ่งเราเข้าใจได้ครับ หลังจากที่ซื้อเสื่อเสร็จแล้วเรามุ่งหน้า/ปหาของกินอร่อยๆกันดีกว่า เนื่องจากเรามาที่นี่เป็นครั้งแรกก็ไม่รู้ว่าจะกินอะไรดี ไม่รู้ว่าอะไรอร่อย ก็ต้องรบกวนพี่ google ครับให้ช่วยแนะนำเราหน่อย เพราะตอนนี้หิวจนตาลายแล้ว และแล้วเราก็เจอร้านที่เราจะไปฝากท้องไว้แล้วนั่นก็คือ นั่นก็คือ นั่นก็คือ "เจ๊เพ็ญเย็นตาโฟ" ร้านเจ๊เพ็ญตั้งอยู่ในบริเวณวัดไผ่ล้อมในอำเภอเมืองนะครับ ต้องยอมรับเจ๊เขาครับว่าดังจริงเพราะว่าคนแน่ร้านเลยถึงจะมีช่วงคนน้อยแต่คนก็ไม่ขายสายเดินทางกันมาลิ้มลองกัน


รายการเมนูร้านเจ๊เขา มีให้เลือกหลากหลายเมนูแต่หลักๆก็จะเป็นเย็นตาโฟมีทั้ง ปู กั้ง สนนราคาชามละ 80-200 บาท และก็มีของทานเล่นด้วยนะครับ สั่งมาทานก่อนในช่วยที่รอเย็นตาโฟ เพราะร้านเจ๊แกทำช้าพอดูครับ ส่วนเมนูที่ผมสั่งนั้นก็มี "เย็นตาโฟธรรมดาและเย็นตาโฟปู+กั้ง"


เป็นยังไงบ้างครับน่ากินมั้ยครับ ส่วนเรื่องรสชาตินั้นถือว่าใช้ได้เลยครับ อร่อยสมคำล่ำลือเรื่องเยอะมากแนะนำเลยนะครับสำหรับคนที่ชอบรับรองคุ้มค่าครับ ในเมื่ออิ่มแล้วก็เดินทางกันต่อดีกว่า มุ่งหน้าสู่หาดเจ้าหลาวซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนของเราในค่ำคืนนี้ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ
"เวลา 15:00 น. เราเดินทางมาถึงยังที่พักของเราแล้วนั่นก็คือ "Sea Co Co Resort" อยู่บริเวณหาดเจ้าหลาวรีสอร์ทติดกับทะเลเลยครับ บรรยากาศช่างดีเสียเหลือเกินได้นอนฟังเสียคลื่นกระทบฝั่งนึกภาพแล้วช่างมีความสุขจริงๆ ตามมาๆครับเดี๋ยวผมจะพาไปดูบรรยากาศของห้องพักครับ





เป็นยังไงบ้างครับบรรยากาศในห้องพัก สำหรับเราสองคนแล้วถือว่าคุ้มกับเงินที่จ่ายไปมากครับ เราใช้เวลาเก็บข้าวของเข้าที่เข้าทางและนอนพักผ่อนกันสักพัก เพราะวันนี้เราเดินทางเหนื่อยมาพอสมควรแล้ว ด้วยอากาศที่ดี นอนฟังเสียงคลื่นไปเราสองเผลอหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ครับ ตื่นมาอีกทีก็เย็นแล้ว เราจึงใช้เวลาตรงนี้เพื่อเก็บภาพความประทับใจบริเวณที่พัก ผมก็มีหวานนะ แต่บางทีผมก็นอนมากไปหน่อย 5555




เกิบลืมบอกไปครับที่นี่เขามี Welcome Drink แล้วก็ Cake ให้ทานตอนที่เราเข้ามาเช็คอินด้วยนะครับ น้ำนะผมไม่ได้กิน ผมกินแต่ Cake จนหมด

พอและ เย็นนี้เรามีนัดดูพระอาทิตย์ตกที่ "เนินนางพญา" ซึ่งที่นั่นได้รับการขนานนามว่าเป็นถนนที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ เพราะเป็นถนนเรียบชายทะเลเลยครับชื่อถนนคือ "เฉลิมบูรพาชลทิศ" ถนนเส้นนี้ทอดยาวไปไกลมากครับ เส้นทางที่เดินทางไปนั้นเป็นเส้นทางชันสลับทางเรียบเพราะเราต้องขับรถลัดเลาะแนวภูเขาไปเรื่อยระหว่างทางเราก็จะผ่าน "โครงพระราชดำริอ่าวคุ้งกระเบน" ซึ่งเราแวะไปถ่ายรูปและนั่งกินข้าวแป๊บหนึ่งครับ เพราะเรายังไม่โดนน้ำทะเลกันเลย


เขาถ่ายคนเดียวครับ สำหรับผมมุนแค่ตากล้องส่วนตัวเท่านั้นครับ พอและไปต่อกันดีกว่าก่อนที่จะไม่ทันไปดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเพื่อหลีกทางให้พระจันทร์เข้ามาแทนที่ เราขับรถตามถนนมาเรื่อยๆก็จะเจอป้ายบอกทางเป็นระยะๆแต่ละป้ายล้วนแต่เป็นป้ายบอกสถานที่ท่องเที่ยวทั้งนั้น เราไปรอช้ารีบมุ่งหน้าไปเนินนางพญากันเลยดีกว่าเย็นมากแล้ว พอขับรถเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาก็มาเจอทางสามแยกเรียบริมทะเลนั่นหมายความว่าเราใกล้ถึง "เนินนางพญา" เข้าไปทุกทีแล้วอีกไม่นานเราก็เดินทางมาถึงจนได้ ต้องขอบอกเลยนะครับระหว่างทางที่เราสองคนขับรถมาผ่านเส้นทางนี้มันเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆยิ่งถ้าเรามองจากจุดชมวิวลงมามันเป็นภาพที่สวยงามมากๆครับ เราจอดรถและขึ้นไปยังจุดชมวิวครับพอมองลงมาก็เป็นภาพอย่างที่เราจินตนาการเอาไว้ ไม่เสียเที่ยวจริงๆที่เราได้มาเห็นความงดงามของถนนเส้นนี้ วันที่ผมไปนั้นคนค่อนข้างหน้าตาครับ





สวยงามใช่มั้ยครับ เรานั่งเล่นถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ เราก็ไปสังเกตเห็นสิ่งสิ่งหนึ่ง เฮ้ย....นี่มันเกาหลีชัดๆ ไม่แพ้ชาติในโลกจริงๆและไม่มีอะไรที่บ้านเราไม่มียกเว้นหิมะ


พอจะนึกออกยังครับว่าเหมือนที่ไหน ผมเดาว่าข้างล่างคงเต็มไปด้วยลูกกุญแจ ที่คู่หนุ่มสาวมาล็อคแม่กุญแจไว้เพื่อเป็นพยานรัก มันช่างเป็นอะไรที่โรแมนติกมากเลยซินะ แต่ถ้าเลิกกันก็คงเป็นเพราะแม่กุญแจขึ้นสนิมซินะ เดินวนไปวนมาหาผมถ่ายรูป พระอาทิตย์ก็กำลังจะลับขอบฟ้าไปแล้ว


เฮ้ย......นี่มันนายแบบชัดๆ ท่าทางได้ บรรยากาศให้ ถือว่าเป็นภาพที่ผมชอบมากที่สุดภาพหนึ่ง ผมยังมีภาพมุมอื่นๆที่ถ่ายไว้อีกนะครับจากมุมด้านล่างเพราะหนีจากข้างบนลงมา


หลังจากถ่ายรูปจนหนำใจแล้วเราสองคนก็เดินทางกลับที่พัก เพื่อไปอาบน้ำแต่งและจะได้ออกมาหาอะไรกินเป็นมื้อเย็นครับ วันนี้เราสองคนคิดว่าไหนๆก็มาทะเลแล้ว ยังไง๊ ยังไง ก็ต้องโดนอาหารทะเลให้ได้เดี๋ยวจะหาว่ามากันไม่ถึง เดิมทีกะกลับมาว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำของโรงแรมแต่มืดละไม่ทันเอาไว้พรุ่งนี้ดีกว่า ขอเวลาปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะครับ หิวจนไส้กิ่วแล้ว
""เวลาประมาณ 18:45 น. เราออกเดินออกจากที่พักเพื่อไปหาร้านอาหารริมทะเลทานกัน เราขับรถมาเรื่อยๆจนมาถึง "ร้านครัวริมทะเล" เราเห็นมีคนเยอะเราเลยเลือกร้านนี้ คนเยอะแสดงว่าอาหารน่าจะอร่อย ถึงแล้วจอดรถเรียบร้อยดิ่งไปที่โต๊ะนั่งเลยครับ หิวมากมายจนตาลายแล้ว ดูเอาแล้วกันนะครับว่ากินกัน 2 คนเราสั่งมาแค่ไหน




แทบจะไม่มีที่วางกันเลยทีเดียว อาหารที่สั่งมารสชาติก็ถือว่าใช้ได้นะครับ ปลา กุ้ง หอยนางรม ถือว่าสดมากครับเนื้อนี่อร่อยมากๆ สมใจอยากนั่งกินไปนั่งคุยกันไป ลมเย็นๆพัดสบาย บรรยากาศบวกกับความสุขของเรามันช่างดีเสียเหลือเกิน เราสองคนนี่พุงแทบแตก พออิ่มแล้วก็เริ่มง่วง เราจึงเรียกพนักงานมาเก็บเงิน สนนราคาอาหารมื้อเย็นวันนี้หมดไป 1,000 บาทเศษแมกินปลาไม่หมดด้วยเลยต้องห่อกลับมาอีกต่างหาก ขับรถกลับห้องกันดีกว่าก็คุยกันว่าจะนั่งดื่มหน้าห้องก่อนที่จะเข้านอน นั่งรับลม ฟังเสียงคลื่น เพลินดีจริงๆ แต่เราก็ฝืนสังขารไม่ไหวเพราะวันนี้เราเหนื่อยมาทั้งวันแล้วจึงเริ่มง่วง ก็เลยพากันอาบน้ำและเข้านอนในที่สุด แต่ตอนเช้าเรายังมีภารกิจปิดท้ายคือการเล่นน้ำที่สระว่ายน้ำ เอาล่ะตื่นมาค่อยว่ากันนอนดีกว่า Good Night

""วันที่ 8 มีนาคม เช้าวันพักผ่อนวันสุดท้ายก่อนที่เราจะมุ่งหน้าเข้ากรุงไปเผชิญหน้ากับความวุ่นวายกัยต่อเราก็ขอตังตวงความสุขวันสุดท้ายให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เช้าวันนี้เราตื่นเวลา 7:00 น. เช้ามากสำหรับแฟนผมแต่สำหรับผมเป็นเรื่องปกติ ตื่นแล้วก็ล้างหน้าแปรงฟันและเตรียมตัวไปว่ายน้ำในสระกัน 




สระน้ำที่รีสอร์ทติดกับทะเลเลยนะครับขอบอก ถือว่าเป็นเช้าที่สดชื่นสำหรับเราเป็นอย่างมาก เราใช้เวลาแวกว่ายในสระอยู่สักชั่วครู่หนึ่งก็เลิกเล่น และล้างเนื้อล้างตัวต่อด้วยการอาบน้ำเพื่อรอรับประทานอาหารเช้าที่ทางรีสอร์ทจัดไว้ให้ ที่นี่พนักงานจะมาเสิร์ฟอาหารเช้าให้ที่ห้องเลยครับ พนักงานจะถามเราตอนที่เราเช็คอินว่าเราจะรับอาหารเช้าตอนกี่โมงซึ่งเราแจ้งกลับพนักงานไปว่าตอน 9:00 น. ใกล้เวลาอาหารเช้าแล้วหิวจังเลย แต่ผมก็รออีกไม่นานมางพนักงานก็มาเคาะประตูเรียกพร้อมกับนำอาหารเช้ามาเสิร์ฟ เห็นแล้วเราก็ยิ่งหิวใหญ่เลยไม่รอใครทั้งนั้นจัดการลุย !!!!!!!!!!!!!!



และนี่ก็คืออาหารเช้าสำหรับวันนี้ครับ ดูน่ากินมากเลยทีเดียวครับ ผมนี่รีบตะโกนเรียกแฟนผมให้รีบมาทานเข้าเช้าด้วยกันเพราะผมหิวมากๆ อาหารเช้าที่นี่อร่อยดีครับ ทำให้เรามีความสุขและอิ่มท้อง หลังจากรับประทานอาหารอิ่มแล้วผมก็เข้าไปอาบน้ำและเก็บข้าวของเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ
""เวลา 9:45 น. เราทำการเช็คเอ้าท์และขับรถออกจากรีสอร์ทที่พักมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพ ได้เวลากล่าวคำอำลาเมืองที่สงบเงียบแห่งนี้แล้ว ""บ้าย บ่าย เมืองจันทบุรี""

""คำแนะนำในการไปเที่ยวจันทบุรีครั้งนี้""
- ร้านค้าในตัวเมืองส่วนมากปิดวันอาทิตย์
- อยากรู้อะไรถามคนในพื้นที่
- อย่ากินอะไรขณะเดินทางเพราะทางขรุขระมากอาจจะทำให้จุกได้
- พนักงานโรงแรมท่ามาจัน ขาวสวยน่ารักดี ถ้าไปพักกับแฟนต้องเก็บอาการ
- ร้านค้า ร้านนั่งดื่มปิดไม่เกินเที่ยงคืน
- สนุกกับวันหยุดให้เต็มที่
- ศึกษาเส้นทางไว้เป็นดีที่สุด
- น้ำทะเลไม่ค่อยน่าเล่นสักเท่าไหร่
- ผู้คนเป็นมิตรไมตรีที่ดี พร้อมให้คำแนะนำเราเสมอ

                                                                ""ภาพส่งท้าย""









""สุดท้ายนี้บันทึกการท่องเที่ยวของเราสองคน เราเขียนมันขึ้นมาเพื่อให้คนได้รับรู้ว่าเมืองไทยเรานี้มีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายที่รอให้เราไปเยี่ยมเยียน เพราะบ้านเรามีที่ท่องเที่ยวไปแพ้ใคร สำหรับเราก็หวังว่าบันทึกการเดินทางของเราแต่ละครั้งมันคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่มีใจรักในธรรมชาติและรักในการเดินทางเหมือนเราสองคน โปรดติดตามตอนต่อไปเพราะการเดินทางของเรายังไม่สิ้นสุด เราขอสัญญาเราจะช่วยกันรักษาธรรมชาติที่เรารักให้อยู่กับเราไปตราบนานเท่านาน #เที่ยวทั่วไทยไปได้ทุกเดือน

************************************************สวัสดี******************************************************












































































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น