วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ทริปนี้ที่เชียงรายยาวไปถึงเชียงใหม่

""สวัสดีเพื่อนๆพี่ๆที่เคารพรักทุกท่านเข้าสู่ช่วงหน้าฝน เราเลยเตรียมแผนเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองล้านนา เนื่องจากเรามีธุระที่ต้องเดินทางมาจังหวัดเชียงรายเลยถือโอกาสวางแผนเที่ยวไปด้วยเลยจะได้ไม่เสียเวลาสำหรับนักเดินทางอย่างเรา แผนเราวางกันไว้ว่านักเครื่องมาทำธุระที่เชียงรายเสร็จเราก็จะไปเที่ยวกันต่อที่เชียงใหม่ด้วยเลย แต่ทริปนี้เราเตรียมตัวกันน้อยมากเนื่องจากงานและความรับผิดชอบที่เราได้รับมันเยอะจนไม่มีเวลาเตรียมแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีที่เที่ยวในใจเลยผมก็คิดเอาไว้คร่าวๆแล้วว่าเราจะไปเที่ยวกันรูปแบบไหน ไปยังไง และไปที่ไหนบ้าง เดี๋ยวลองมาดูกันนะครับว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง ตามมาเลยครับ(ข้ามจังหวัดเชียงรายไปเลยเริ่มกันที่จังหวัดเชียงใหม่เลยครับเนื่องเมื่อเดือนมกราคมเรามาเที่ยวที่เชียงรายกันแล้วแต่ไม่มีรีวิว อิอิ)
""วันที่ 20 มิถุนายน 58 เราเดินทางออกจากเชียงรายตอนเวลา 11:30 น. ด้วยรถบัสโดยสารใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง 15 นาทีก็ถึงจังหวัดเชียงใหม่ เป็นเมืองๆหนึ่งที่เจริญพอๆกับกรุงเทพฯ พอเราสองคนเดินทางถึงสถานีขนส่งเชียงใหม่(อาเขต) เราสองคนก็ตกลงกันก่อนว่าเราจะไปพักกันที่ไหน เราตกลงกันว่าจะไปพักย่านที่วัยรุ่นเขานิยมกันก็คือ "ย่านนิมมานเหมินทร์" งั้นอย่ารอช้าครับไปหาที่พักกันดีกว่า ไปกัน


เราเดินทางด้วยรถสองแถวสีแดง เป็นรถที่วิ่งรอบตัวเมืองเชียงใหม่ นั่งจากอาเขตมาลงที่ถนนนิมมานเหมินต์คนละ 50 บาท เราลงรถสองแดงตรงซอย 9 หลังจากนั้นก็เดินหาที่พักกัน เราสองคนเดินหาที่พักจนเจอ เราตกลงนอนกันที่ "นิมมานซอย 9"





สนนราคาที่พักอยู่ 899 บาท/คืนรวมอาหารเช้าครับ มีฟรี WiFi แต่ผมลองเชื่อมต่อยังไงก็ไม่ติด ฮ่าๆ 
เราจัดการเก็บข้าวเก็บของและเตรียมตัวอาบน้ำและออกไปหาอะไรกินกันสักหน่อย เราตัดสินใจเช่ารถมอร์ไซค์จากที่พักเลยครับ ราคา 350 บาท/วัน ครั้งนี้มาดามผมอยากขับ Honda Zoomer X เลยตามใจเขาหน่อย 


พอได้รถแล้วเราก็ออกเดินทางขับเที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่ เราขับลัดเลาะไปตามคูเมืองเรื่อย จนมาถึงจุดแรกเราเลยแวะชมสักหน่อยและที่นี่ก็คือ "วัดโลกโมฬี"

 



วัดโลกโมฬี เป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ อายุกว่าห้าร้อยปี สร้างในสมัยอาณาจักรล้านนา ตั้งอยู่บริเวณทิศเหนือของตัวเมืองเชียงใหม่ เอาประวัติมาให้อ่านคร่าวๆกันครับ หลังจากได้ชื่นชมศิลปะล้านนากันพอหอมปากหอมคอแล้ว เราก็บิดสองล้อคู่ใจไปกันต่อครับ จุดหมายปลายทางของเราในเย็นวันนี้ก็คือมุ่งหน้าสู่ Walking street ของพี่น้องชาวเชียงใหม่ครับ ที่เชียงใหม่จะมี Walking street อยู่ 2 ที่ครับ
1. ถนนคนเดินวัวลาย เปิดทุกวันเสาร์
2. ถนนคนเดินประตูท่าแพ เปิดทุกวันอาทิตย์
เนื่องจากวันแรกของเราที่เชียงใหม่เป็นวันเสาร์เราเลยมาเดินหาซื้อของฝาก หาของกินกันที่ "ถนนคนเดินวัวลาย" ที่นี่มีของทั้งของกินของฝากมากมายหลายอย่างครับเลือกเอาตามชอบเลย


บรรยากาศช่วง 5-6 โมงเย็นครับ ผู้คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวก็เริ่มทยอยมาช็อปปิ้งกันแล้วครับ เราเดินไปเรื่อยๆจนมาเจอวัดๆหนึ่งครับซึ่งในวัดมีอุโบสถเงินครับ สวยตระการตามากครับ 




เป็นยังครับ อุโบสถเงิน สวยไหมครับ อ่อๆลืมบอกไปหนึ่งอย่างครับ ณ อุโบสถเงิน แห่งนี้ไม่ให้ผู้หญิงเข้าไปด้านในนะครับ พอเข้าไป ไหว้พระขอพรเสร็จแล้วเราก็เดินเที่ยวชมถนนคนเดินกันต่อครับ ต้องยอมรับเลยครับว่าที่ถนนคนเดินวัวลายแห่งนี้ เต็มไปด้วยศิลปินเปิดหมวกทั้งรุ่นเล็ก เรื่อยไปจนถึงรุ่นใหญ่มาเล่นดนตรีขับกล่อมผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมามีทั้งดนตรีสากล ดนตรีพื้นบ้าน


นี่ก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มศิลปินรุ่นใหญ่ออกมาแสดงโชว์ดนตรีพื้นบ้าน ยิ่งเย็นยิ่งมืดคนก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆครับ 

 
นี่ครับตามภาพเลยครับ คนเยอะจริงๆ เราไม่ค่อยได้ซื้ออะไรสักเท่าไหร่มีแต่ซื้อแคปหมูกลับไปฝากเพื่อนร่วมงานครับ แต่ไม่รู้จะเหลือถึงกรุงเทพฯหรือป่าวนะ หลังจากเราเดินเที่ยวถนนคนเดินจนเสร็จสิ้นเราก็หาร้านนั่งกินข้าวและดื่มกันสักหน่อยแล้วต่อด้วยซื้อเบียร์จาก 7-11 มานั่งดื่มริมคูเมืองประหยัดแถมได้บรรยากาศอีกแบบหนึ่งครับ หลังจากดื่มกินกันเสร็จเราก็ขับรถกลับที่พักครับ พักผ่อนและเตรียมตัวเดินกันต่อไปในวันรุ่งขึ้นครับ
""วันที่ 21 มิถุนายน 58 วันนี้เราวางแผนกันไว้ว่าจะเดินทางมุ่งหน้าสู่ "อำเภอสันกำแพง" เพื่อไปเที่ยวชมน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงใหม่ เรามีรถ มีเวลา มีความมุ่งมั่นที่จะไปแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องเติมพลังกันก่อน เราเลยจัดหนักมื้อเช้าเลย


อาหารเช้าของโรงแรมเปิด 8:00-10:00 น. อยากจะบอกว่าเปิดสายไปนะ เพราะผมไปมาก็หลายจังหวัดที่นี่เปิดสายสุด แต่ไม่เป็นไรเรารอได้เพื่อความประหยัดของทริปนี้ หลังจากอาหารเช้าเราก็เริ่มออกเดินทางจากที่พักมุ่งหน้าสู่อำเภอสันกำแพง แต่เดิมเราคิดว่าเราคงได้เที่ยวแค่น้ำพุร้อนสันกำแพง แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น จุดแรกที่เราก้าวเท้าเข้าสู่อำเภอสันกำแพงคือ "หัตถกรรมร่มบ่อสร้าง" ซึ่งเป็นร่มกระดาษสาที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทย มาดูกันครับ


นี่คือ "นางงามบ่อสร้าง" ของแท้ครับ พอมาดูวิธีการทำ มันทำให้เรารู้ว่าของที่สร้างขึ้นด้วยสติปัญญาของคนพื้นบ้านมันมีความหมายแค่ไหน ควรค่าต่อการอนุรักษ์มากแค่ไหน เราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมีแต่นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชม


ภาพนี้เป็นการขึ้นรูปและขึ้นโครงร่างของร่มครับ กว่าจะได้แต่ละอันมันลำบากแค่ไหน



การทำร่มที่นี่ทุกอย่างทำด้วยมือทั้งหมดไม่มีเครื่องจักรครับ เราถึงกับทึ่งในความสามารถของพวกพี่ๆเขาครับเคยได้ยินแต่ชื่อวันนี้ได้มาเห็นจริงๆเข้าแล้ว หลังจากแวะชมวิธีการทำร่มแล้วเราก็ขับรถมุ่งหน้าสู่น้ำพุร้อนกันครับ ขับมาเรื่อยๆครับเพราะวันที่เราเดินทางไปกันนั้นอากาศไม่ค่อยร้อนครับฟ้าคลึ้มเหมือนฝนจะตกตลอดเวลา เราใช้เวลาขับรถประมาณ 20 นาทีก็ถึงจุดหมายปลายทางของเราวันนี้ครับ ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาทครับ



นี่ไงครับน้ำพุร้อนสันกำแพงไม่ผิดหวังครับที่ได้มา ที่นี่มีกิจกรรมให้มากมายหลายอย่างครับไม่ว่าจะเป็น การแช่เท้าในน้ำพุร้อน การต้มไข่ นวด ฯลฯ 


เราก็นั่งแช่เท้าเหมือนคนอื่นๆดูบ้างครับซึ่งที่นั่นเขาทำเป็นธารน้ำไหลยาวไปรอบๆเลยครับมีทุกเพศทุกวัยครับที่มาที่นี่โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มานั่งพักผ่อนและนั่งแช่เท้าในน้ำพุร้อนตามความเชื่อที่ว่าสามารถช่วยรักษาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย และอีกกิจกรรมหนึ่งที่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงคือการลวกไข่ครับ ทางเจ้าหน้าที่มีการเตรียมที่ลวกไข่ไว้ให้ครับ พร้อมเขียนป้ายไว้ด้วยว่าคุณต้องการไข่แบบไหนและต้องใช้เวลาเท่าไหร่เราไม่ได้ซื้อไข่ไปลวกครับเพราะว่าก่อนออกมาเราซัดไข่ไปหลายฟองเหมือนกันครับ


เราไม่ได้ซื้อไข่มาลวกครับ แต่ผมอยากล้างไข่มากๆ ฮ่าๆ "น้ำพุร้อนสันกำแพง" มีเนื้อที่ทั้งหมด 75 ไร่ เปิดครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2527 เห็นปีแล้วรู้เลยครับว่าเปิดมานานแค่ไหนอายุเท่าผมเลย ฮ่าๆ ส่วนอุณหภูมิของน้ำพุร้อนอยู่ที่ 100-105 องศาเซลเซียสน้ำเดือดๆดีๆนี่เองครับ เราใช้เวลาเที่ยวชมที่นี่กันพอสมควรครับ ตอนเดินกลับออกมาก็สอบถามเส้นทางเจ้าหน้าที่ว่ามีที่ไหนที่เราสามารถไปเที่ยวได้อีกบ้าง หลังจากนั้นเราก็เดินทางกันไปเที่ยวกันต่อครับ เราแวะไปเที่ยวที่ "ถ้ำเมืองออน" ครับไม่ไกลจากน้ำพุร้อนมากนักจากถนนใหญ่ถึงตัวถ้ำประมาณ 2 กิโลเมตร สนนอัตราค่าเข้าอยู่ที่ 20 บาท/คน ซื้อบัตรเข้าชมแล้วก็ต้องเดินขึ้นบันไดเพื่อไปยังปากทางเข้าถ้ำ อยากจะกลับเลยครับพอเห็นทางขึ้น บันไดสูงชัน เห็นแล้วท้อแท้ แต่ไหนๆมาแล้วตั้งจัดสักหน่อย


ช่วงระยะเวลาที่เดินขึ้นไปนั้น เราเงยหน้าขึ้นไปนั้นเราก็เจอพวกฝูงลิงกระโดดไปมาตามต้นไม้เพื่อลงไปหากิน เราก็แอบตกใจนิดหน่อย พอถึงปากถ้ำก็จะมีลุงคนหนึ่งนั่งคอยให้บริการเช่าไฟฉายราคา 20 บาทแล้วก็จะมีไกด์เด็กน้อยคอยสอบถามเผื่อมีคนสนใจให้น้องสาวเป็นคนนำเที่ยวถ้ำได้ ทีนี้ก็ได้เวลาลงไปสำรวจถ้ำกันแล้วตามมาเลยครับ



ถ้ำเมืองออนแห่งนี้มีสองชั้นด้วยกัน เป็นถ้ำที่มีความกว้างขวางมาก มีทั้งงอกหินย้อยสวยงามเต็มไปหมด รวมถึงหินที่มีรูปร่างต่างๆตามจินตนาการครับไม่ว่าจะเป็น หินไดโนเสาร์ หินแมวน้ำ หินพญานาค แล้วก็หินช้างห้าหัว หลังจากเดินเที่ยวชมถ้ำเสร็จเราก็เริ่มหิว เราก็ตัดสินใจขับรถกลับเข้าตัวเมืองเพื่อไปแวะหาของกิน เราขับรถลัดเลาะตามคูเมืองมาเรื่อยๆจนมาเจอร้านอาหารอีสานอยู่หนึ่งร้าน "รวมใจไก่ย่าง" มาดามผมเธออยากจัดเลยต้องแวะครับ พอจอดรถได้เข้าไปนั่งก็รีบสั่งกันใหญ่เลยครับ หิวมาก รอไม่นานก็ได้อาหารอย่ารอช้าครับ ลงมือได้เลย


นี่แค่บางส่วนนะครับนี่ยังไม่รวมส้มตำอีก 2 จาน ต้องขอบอกเลยครับว่าอาหารที่นี่อร่อยเกือบทุกอย่างรสชาติถึงใจครับ อ่อๆที่ร้านน่าจะเป็นธุรกิจของครอบครัวครับ บางเมนูก็ต้องทวงถาม ล่าช้าบ้าง ส่วนพวกผักและน้ำจิ้มหากขอเพิ่มทางร้านคิดเงินด้วยนะครับ หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จเราก็เดินทางกลับที่พักและจะออกไปถนนคนเดินประตูท่าแพกันต่อครับ
เวลา 18:00 น. เราออกจากที่พักมาที่ถนนคนเดินประตูท่าแพ ต้องบอกเลยว่าถนนคนเดินที่นี่ใหญ่กว่าถนนคนเดินวัวลายที่เราไปกันมาวันแรกเสียอีก เดินจนเมื่อยครับ


คนก็เยอะกว่าครับ เราใช้เวลาเดินดู จับจ่ายซื้อของกันประมาณ 2-3 ชั่วโมงแล้วก็เดินออกมาใหาอะไรกินตรงประตูท่าแพเนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลอาหารพอดีจึงมีอาหารขายมากมาย อยากกินไปซะทุกอย่างครับ ไอ้เรามันพวก Backpacker เลยจัดการอะไรง่ายๆแล้วมานั่งกินกันริมฟุตบาต


หลายคนนั่งกินข้าวพร้อมมีเสียงขับกล่อมแต่เราสองคนนั่งกินข้าวไปฟังเสียงนกหวีดตำรวจไป เพลินกันเลยทีเดียว


เนี่ยเสียงขับกล่อมเราระหว่างกินข้าวอยู่ริมฟุตบาตครับ พอกินเสร็จแล้วก็ต้องหาร้านนั่งฟังเพลงจริงๆจังๆกันสักทีแล้วนั่งเสียงนกหวีดจนหูชาและ เราขับรถจนมาเจอร้านๆหนึ่ง ร้านแบบนี้ซิแนวเรา ชื่อร้านว่า "นอร์ทเกท" ครับอยู่ตรงประตูช้างเผือก ที่ร้านเป็นแนวบริการตัวเอง มีดนตรีสดเล่นเพลงสากลเป็นแนวดนตรีแจ๊ส ยิ่งดึกคนยิ่งเยอะโดยเฉพาะชาวต่างชาติ ถ้าใครชอบห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ


เรานั่งดื่มเบียร์ฟังเพลงไปเรื่อยจนดึกและได้เวลากลับ เรากลับประมาณเที่ยงคืนครับ และไปนั่งกินต่อหน้าที่พักอีกสักพักก็เข้านอนครับ เดี๋ยวต้องตื่นเช้าเพื่อจะไปเที่ยว "ม่อนแจ่ม" อยู่ที่อำเภอแม่ริม ฝันดีครับ 😴😴😴
""วันที่ 22 มิถุนายน 58 วันนี้เราจะไปเที่ยว "ม่อนแจ่ม" กันครับเราออกเดินทางจากที่พักประมาณ 10 โมงเช้าแต่วันนี้เราไม่ต้องขับมอร์ไซค์ไปกันเองมีคนพาไปเที่ยวครับเป็นเพื่อนของแฟนผมเขาอาสาพาไปเที่ยวครับ สบายผมเลยวันนี้ เราใช้เวลาขับรถไปไม่นานนักก็ถึงอำเภอแม่ริมแต่เราก็ต้องขับไปยังม่อนแจ่มต่อระหว่างทางที่เข้าไปนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายครับไม่ว่าจะเป็น ปางช้าง น้ำตกแม่สา ดูเสือ และกิจกรรมมากมายเลือกได้เลยตามความชอบครับ ทางขึ้นม่อนแจ่มค่อนข้างสูงชันครับและอีกอย่างทางเลี้ยวเข้าม่อนแจ่มนั้นต้องสังเกตุให้ดีๆเพราะป้ายบอกทางเล็กมากๆ อาจทำให้ขับเลยขึ้นไปได้ครับ แต่ยัง ยังไม่ถึงนะเพราะเราแวะดูไร่องุ่นกันก่อนที่จะขึ้นไป



ไม่ได้แวะซื้อองุ่นครับแค่แวะถ่ายรูปเฉยๆ ไปม่อนแจ่มกันดีกว่าครับ พอเรามาถึงด้านบนเราก็ทำงานจัดการถ่ายรูป จะได้ไปกินข้าวสักทีหิวมากๆ



เนี่ยบรรยากาศด้านบนของม่อนแจ่ม เราสอบถามคนที่นี่พี่ๆเขาบอกว่าอากาศที่นี่เย็นตลอดทั้งปีครับ สำหรับวันนี้ที่เรามากันค่อนข้างครึ้มฟ้าครึ้มฝนครับ พอถ่ายรูปกันได้สักพักเราก็พากันไปหาที่นั่งกินข้าวกันครับ มาดูที่เรานั่งกินข้าวกันครับ




เนี่ยครับบรรยากาศอาหารเที่ยงของเราวันนี้มันเป็นอร่อยที่มีความสุขมากๆครับ อากาศก็ไม่ร้อนมากจนเกินไปออกเย็นๆเสียด้วยซ้ำ ส่วนอาหารที่นี่มีตั้งแต่อาหารพื้นเมือง อาหารไทย รวมถึงอาหารอิตาเลี่ยนด้วยครับเลือกได้ตามใจชอบ หลังจากกินข้าวอิ่มแล้วเราก็เดินเที่ยวชมบริเวณรอบๆ มาดูภาพบรรยากาศรอบกันบ้างครับ



จริงๆแล้วผมมีรูปเยอะกว่านี้นะครับแต่เนื่องจากผมใช้กล้อง SJ Cam , DSLR ด้วยและยังไม่ได้เอาลงในสมาร์ทโฟนผมจึงใช้รูปส่วนใหญ่ถ่ายจากมือถือครับ เดี๋ยวจะต้องเอารูปจากกล้องแต่ละตัวมาซะแล้วเพื่อนจะได้เห็นวิวทิวทัศน์อันสวยงามของม่อนแจ่ม

 
ไม่บ่อยนะที่จะได้ถ่ายรูปคู่กันโดยไม่ต้องเซลฟี่เลยจัดสักหน่อครับ


อย่าเพิ่งหมั่นไส้ผมนะ กรุณาโฟกัสไปที่วิวครับ ฮ่าๆ



รูปเดี่ยวก็มีนะเป็นยังไงบ้างครับเท่ห์มากเลยใช่มั้ย แอบหลงตัวเองนิดหนึ่ง


นี่ๆไงมาดามผมเขาก็มีเหมือนกันนะครับนางไม่ยอมแพ้อยู่แล้วเรื่องถ่ายรูปเนี่ย เกือบบ่ายคล้อยแล้วเราจึงต้องโบกมือลาม่อนแจ่มแล้ว เราเดินทางออกจากม่อนแจ่มประมาณบ่ายโมงนิดๆ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษๆก็มาถึงที่พักแต่เราไม่ได้พักที่นี่แล้วเพียงแค่ฝากกระเป๋าไว้เฉยๆ และไม่บอกกับทางเจ้าของรถว่าเราขอเช่าต่ออีกหนึ่งวันเพราะยังมีอีกหนึ่งที่ที่เราอยากไปและยังไม่ได้ไปครับนั่นก็คือ "วัดพระธาตุดอยสุเทพ" ถ้ามาถึงเชียงใหม่แล้วต้องไปให้ได้ เราเริ่มออกเดินทางไปยังพระธาตุดอยสุเทพประมาณบ่าย 2 โมงกว่าๆระยะทางจากที่พักไปยังดอยสุเทพประมาณ 15 กิโลเมตรครับ ระหว่างทางที่ไปนั้นก็จะผ่าน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สวนสัตว์เชียงใหม่ สถานที่นมัสการครูบาศรีวิชัย เดิมทีเราจะรีบไปรีบกลับเพื่อจะเอารถมาคืนให้ทันเวลาแต่เราเปลี่ยนใจเช่าต่ออีกวันเพื่อจะได้ไม่รีบร้อนจนเกินไปและจะได้มีเวลาเก็บภาพสวยๆด้วยครับ


ได้เวลาแว้นกันต่อแล้วครับ ระหว่างที่ขับรถขึ้นดอยนั้นก็จะมีจุดชมวิวให้แวะถ่ายภาพด้วยครับรวมถึงน้ำตกด้วย เราแวะจุดชมวิวจุดแรกก่อนที่จะถึงดอยสุเทพ


นี่ครับภาพวิวของตัวเมืองเชียงใหม่แบบมุมกว้างครับสวยไปอีกแบบ มุ่งหน้าสู่ดอยสุเทพกันต่อดีกว่าบรรยากาศสองข้างทางมันช่างร่มรื่นและเย็นสบายมากๆ จากจุดชมวิวเราใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็ถึงจุดหมายปลาทางของเราวันนี้แล้วครับ


ก่อนขึ้นไปเราแวะมาอ่านประวัติของพระชายาเจ้าเมืองเชียงใหม่และประวัติของครูบาศรีวิชัยรวมถึงประวัติตั้งแต่การก่อสร้างพระธาตุดอยสุเทพด้วยครับ มีให้เลือก 2 ทางครับอยากสบายหรือว่าเเข้งขาไม่ดีก็ใช้บริการรถรางไฟฟ้าได้ครับหรือว่าอยากจะทดสอบความแข็งแรงของร่างกายก็เดินขึ้นบันไดพญานาคครับทั้งหมด 170 กว่าขั้นเราตัดสินใจเดินขึ้นดีกว่า พร้อมแล้วก้าวขาไปด้วยกันครับ ไปเลย


ตรงบันไดทางขึ้นก็จะมีเด็กน้อยใส่ชุดชาวเขาเผื่อใครอยากถ่ายรูปคู่กับน้องเขาก็ได้แต่ก็น่าจะมีค่าใช้จ่ายนิดหน่อยเหมือนเป็นการช่วยเป็นการศึกษาให้น้องเขาครับ สำหรับผมถ่ายฟรีครับผมช่วยน้องเขาแกะขนม ฮ่าๆ ไปกันต่อดีกว่าครับ เดินบ้างพักบ้างก็ถึงพระธาตุดอยสุเทพจนได้ เย้ๆ ด้านบนเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวครับ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นกรุ๊ปทัวร์จากประเทศจีน เมื่อมาถึงแล้วเราสองคนก็หามุมถ่ายภาพกัน คราวนี้ไม่มีคนถ่ายให้แล้วต้องเซลฟี่กันเองซะแล้ว 


ทำได้แค่นี้ครับเพราะทนความร้อนของพื้นไม่ไหว หลังจากนั้นเราก็ไปไหว้สักการะพระธาตุและแยกย้ายกันทำกิจกรรมอื่นๆ มาดามผมไปเวียนเทียนรอบพระธาตุแล้วไหว้พระต่อส่วนผมก็หามุมถ่ายภาพต่อบอกตรงๆหามุมยากมากเพราะแต่ละจุดเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวผมนั่งรอไปเรื่อยๆและแล้วผมก็ได้ภาพที่สวยภาพหนึ่งครับ ท้องฟ้า มุม มันช่างเป็นใจอะไรขนาดนั้น


เป็นยังไงครับสวยไหมครับภาพนี้ เป็นภาพๆหนึ่งที่ผมชอบมากครับ นั่งรอจนได้ภาพที่สวยสมใจตัวเองเลยครับ หลังจากสักการะพระธาตุกันเสร็จแล้วเราก็เดินดูบรรยากาศรอบๆของตัวพระธาตุครับ ดูภาพตัวเมืองเชียงใหม่จากมุมสูงกันบ้างครับ



ช่วงที่เราขึ้นไปทองฟ้ามันครึ้มฝนไปหน่อยครับถ้าฟ้าสีฟ้า เมฆสีขาว ทั้งสองภาพนี้ก็จะสวยงามมากเลยทีเดียว



เป็นยังไงบ้างครับภาพมุมสูงของตัวเมืองเชียงใหม่จากดอยสุเทพ เมื่อถ่ายรูปจนหนำใจแล้วเราก็เดินทางกลับไปหาที่พักกันต่อครับ เนื่องจากเราอยากลองเปลี่ยนไปพักที่อื่นๆบ้าง ขากลับมาดามผมขอลองขับรถดูบ้าง สงสัยอยากขับมานานแล้วเลยปล่อยให้ได้ลองขับบ้างครับ


แลดูมีความสุขมากเลยทีเดียวครับ ระหว่างขับรถลงมาด้านล่างนั้นเราตกลงกันว่าจะไปหาร้านกาแฟนั่งดื่มกัน(ผมไม่ดื่มกาแฟ)ผมก็จะถือโอกาสหาที่พักไปด้วยเลยครับเนื่องจากเรายังไม่มีที่พักก็เลยนั่งหาข้อมูลที่พักกันโดยใช้ WiFi ของร้านกาแฟนั่นแหละ


หลังจากหาข้อมูลที่พักผ่านอินเตอร์เน็ตมันไม่ทันใจเรา เราเลยตัดสินใจออกจากร้านกาแฟและขับรถหาที่พักด้วยตัวเองครับจะได้พักผ่อนเสียที เราขับรถดูไปทีละซอยจนมาถึงที่นี่ครับนิมมานเหมินทร์ซอย 13 มาเจอที่พักแห่งหนึ่งครับชื่อ "เดอะนิมมานซอย 13" เจ้าของเป็นชายชาวต่างชาติและพาเราขึ้นไปดูห้องครับที่พักที่นี่เป็นตึกแบบทาวน์เฮ้าส์เป็น 2 ตึกคู่และมีห้องพักชั้นละ 2 ห้องทั้งหมด 3 ชั้นห้องด้านหน้าสำหรับคนเดียว ส่วนด้านหลังจะพักได้ 2 คนครับ พักท่านเดียวราคา 700 บาท/คืน ห้องพักสำหรับสองท่านราคา 800 บาท/คืน แต่เราได้ราคา 700 บาทเนื่องจากเขาลดราคาให้เราเลยตกลงที่จะพักที่นี่ครับเพราะเหนื่อยมาทั้งวันแล้วครับแล้วอีกอย่างก็เย็นมากแล้ว


เรากลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้กลับโรงแรมเก่าที่เราเคยพักและมา Check in ที่นี่ครับเราได้ห้องชั้น 2 ครับ ราคา 700 บาทนี้ไม่รวมอาหารเช้านะครับแต่ก็มีชา กาแฟ ไว้ให้บริการ ข้าวของเครื่องใช้ในห้องก็ถือว่าไม่ขี้เหร่เลยครับ ค่อนข้างดีเสียด้วยซ้ำครับ



คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วที่เราจะได้พักที่ถนนนิมมานเหมินทร์แห่งนี้เพราะพรุ่งนี้เราต้องเดินทางกลับกันแล้วครับ ถึงห้องพักเราก็จัดของเล็กน้อยและก็นอนพักผ่อนพลางหาร้านอาหารที่จะฝากท้องกันวันนี้ครับ และแล้วมาดามผมนางก็เจอร้านอาหารพื้นเมืองที่ขึ้นชื่อในย่านนี้ครับ "ร้านต๋องเต็มโต๊ะ" เป็นร้านอาหารเหนือครับ ร้านอยู่ในซอย 13 นี่แหละครับ เราไปที่ร้านกันครับ


ที่ร้านคนเยอะมากครับเราต้องรอคิว เราได้คิวที่ 2 ลูกค้าที่ร้านมีทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่ชื่นชอบอาหารพื้นเมืองมาอุดหนุนแบบไม่ขาดสายครับ เราสั่งอาหารมาทั้งหมด 6 อย่างครับก็มี ต้มยำจิ้นไก่ , แกงผักหวานใส่ไข่มดแดง , ย่างรวม , แคปหมู , ปลาช่อนทอดน้ำปลา , ลาบหมูคั่ว

 
ดูอาหารเสียก่อนเต็มโต๊ะเลยครับสงสัยวันนี้พุงแตกแน่นอนครับ ดูหน้าตามาดามผมนางมีความสุขมากกับอาหารพื้นเมืองเพราะนางบ่นทุกวันว่าอยากกินอาหารเหนือ หลังจากอิ่มหนำสำราญกันแล้วเราก็หาร้านนั่งดื่มเพื่อเป็นการส่งท้ายทริปนี้ครับ



เรามานั่งชิลปิดท้ายทริปนี้กันที่ "โอ้คาเฟ่" อยู่หน้าที่พักนั่นแหละครับ นั่งดื่มกันสักพักเราก็เริ่มง่วงนอนเลยกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมดีกว่าถือว่าทริปนี้เราได้เที่ยวจนครบทุกรูปแบบครับ คุ้มค่าจริงๆ
""สิ่งที่ควรรู้ในการมาเที่ยวเชียงใหม่ครั้งนี้
-ถนนคนเดินที่เชียงใหม่มี 2 ที่คือ ถนนคนเดินวัวลายเปิดวันเสาร์ และ ถนนคนเดินประตูท่าแพเปิดวันอาทิตย์
-ใครที่ชอบดื่มชอบเที่ยว หาร้านแนวๆนั่งแนะนำให้ไปพักแถวๆถนนนิมมานเหมินทร์
-ศึกษาเส้นทางให้ดีถ้ามีแผนที่จะดีมาก เพราะทางในเมืองเชียงใหม่มันวนไปมาถ้าจับทางได้ก็คือขับเลาะคูเมืองไปครับ
-รถสองแถวสีแดงเชียงใหม่ซึ่งวิ่งวนรอบเมืองราคาเริ่มต้นที่ 20 บาทแนะนำให้ถามคนพื้นที่ว่าไปแต่ละจุดเท่าไหร่ เพราะคนขับชอบให้เหมาไป
-เป็นเมืองที่ไม่ได้แตกต่างจากกรุงเทพฯสักเท่าไหร่นัก ค่อนข้างวุ่นวาย
-เป็นเมืองที่มีสีสันเมืองหนึ่ง
-ค่าเช่ารถมอร์เตอร์ไซค์เริ่มต้นอยู่ที่ 250-350 บาทต่อวันหรืออาจจะแพงกว่านั้นขึ้นอยู่กับรุ่นของรถ
-แนะนำให้ขับมอร์ไซค์เที่ยวสถานที่ท่องเที่ยว
                   "รูปภาพส่งท้าย"







""วันที่ 23 มิถุนายน 58 เราเดินทางกลับไปสู่ชีวิตคนทำงานอีกครั้ง ขากลับเราก็ยังคงใช้บริการของ Air Asia เหมือนเดิม Flight ออกจากเชียงใหม่เวลา 12:05 น. บ้าย บาย เชียงใหม่ 
""ทุกครั้งที่เขียนรีวิวนั้นมีเพียงไม่กี่เหตุผลที่ทำมันขึ้นมารวมถึงความสุขของเราทั้งสองคนด้วย อีกทั้งยังเป็นการบอกต่อถึงการเดินทางที่จะไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ เราจะได้เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมและสิ่งที่สำคัญมากที่สุดคืออยากให้รู้ว่าเมืองไทยมีที่เที่ยวมากมายหลายแบบ หลายอย่างไม่ว่าจะฤดูไหนๆเราก็สามารถเที่ยวได้ เที่ยวซะตั้งแต่ตอนที่ยังมีแรงเถอะครับแก่ตัวไปจะเอากำลังที่ไหนไปเที่ยว "เที่ยวทั่วไทยไปได้ทุกเดือน"
*********************สวัสดี***********************
                        😍😜☺️

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น