วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

ทริปนี้ที่ตลาดร้อยปีสามชุก-บึงฉวาก


""สวัสดครับ เพื่อนๆ พี่ๆ ทุกท่าน การเดินทางยังไม่สิ้นสุด คนรักการเดินทางอย่างเราก็ต้องแสวงหาสถานที่ท่องเที่ยวต่อไปเรื่อยๆ ทริปนี้เดิมทีแล้วเราวางแพลนไว้ว่าจะไปเที่ยวเชียงใหม่ในฤดูฝน แต่ด้วยเรื่องงานทำให้เราลางานกันได้น้อย(เราสองคนทำงานโรงแรมทั้งคู่ครับ) ดังนั้นทริปนี้เราจึงตัดสินใจไปเที่ยวจังหวัดที่มีสำเนียงเป็นเอกลักษณ์ "ไอ้หมา" ไปเที่ยว "จังหวัดสุพรรณบุรี" ครับอีกอย่างตัวผมเองเป็นคนสุพรรณฯด้วยเลยถือโอกาสกลับไปหาแม่ด้วย อยากกินกับข้าวฝีมือแม่มานานและ อีกอย่างเวลาได้กลับไปเที่ยวบ้านที่สุพรรณฯก็ไม่ค่อยมีโอกาสออกไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดสักเท่าไหร่ครั้งนี้เลยถือโอกาสเที่ยวซะเลย เริ่มออกเดินทางกันได้ Let's Go


""วันที่ 16 พฤษภาคม 58 เราออกเดินทางจากที่พักเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางของเรา ครั้งนี้เรามาขึ้นรถที่เดิมที่คุ้นเคยก็คือที่อนุสวรีย์ เราซื้อตั๋วไปลงที่ "ตลาดร้อยปีสามชุก" ค่ารถคนละ 140 บาท/คน ถ้าจะไปตลาดสามชุกสามารถขึ้นรถได้ 2 จุดคือ
1.กองฉลาก แถวๆแยกคอกวัว
2.อนุสวรีย์ชัยสมรภูมิ
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2-3 ชั่วโมง ทริปนี้เรานัดกับที่บ้านมารับเราที่ตลาดสามชุกเพื่อยังไปเที่ยวจุดอื่นๆตามที่วางแผนกันเอาไว้ครับ นั่งรถมาสักพักก็เข้าเขต "จังหวัดสุพรรณบุรี"


เมื่อเข้าเขตจังหวัดสุพรรณฯแล้วก็อีกประมาณ 45 นาทีก็ถึงตลาดสามชุก ซึ่งเป็นจุดแรกของทริปนี้ ก่อนจะถึงตลาดสามชุกก็จะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็น "หอดูดาว , ศาลหลักเมือง , ตลาดเก่าศรีประจันต์ , บ้านควาย
รถตู้จอดเทียบท่าแล้ว เย้ๆ "ยินดีต้อนรับสู่ตลาดร้อยปีสามชุก" อยากจะบอกว่าตลาดสามชุกเนี่ยผมมาบ่อยมาสมัยตอนเด็กๆตั้งแต่ยังไม่ได้พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ทันได้เห็นที่ทำการอำเภอหลังเก่า สะพานข้ามแม่น้ำท่าจีนอันเดิม เพราะตอนเด็กพอเราได้เห็นใครขับรถมอร์ไซค์ขึ้นสะพานนี้ได้ถือว่าเก่งเนื่องจากสะพานไม้อันเดิมมันสูงมากๆ 


รูปนนี้เป็นสะพานใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นทดแทนอันเดิมเพราะอันเดิมใช้มานานแล้วอาจจะพังได้ในหน้าน้ำหลากจึงมีการเปลี่ยนแปลง(แอบเสียดายนะ) เพื่อความคงทนแข็งแรงในหน้าน้ำหลากและอายุใช้สอยที่ยาวนานขึ้น เรายืนถ่ายรูปอยู่ก็ชำเรืองมองเห็นพี่วณิพกคนหนึ่งนั่งร้องเพลงเพื่อชีวิตขับกล่อม เเรกเศษเงินผู้คนที่ผ่านไปมา เสียงพี่เขาใช้ได้เลยครับ


ตลาดสามชุกเป็นตลาดที่ผมผูกพันธ์มากพอสมควรเพราะตอนเด็กๆผมมาที่นี่บ่อยมากๆเทียบจะทุกเดือนเลยก็ว่าได้ บางครั้งเดือนหนึ่งมา 2-3 ครั้ง/เดือน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าที่ตลาดสามชุกนั้นมีก็ "บ้านท่านขุนจำนงค์ จีนารักษ์" ซึ่งท่านมีตำแหน่งหน้าที่เป็นนายอากร คือเป็นคนเก็บภาษีนั่น และมีศักดินาทั้งหมด 400 ไร่ถือว่าเป็นท่านขุนคนเดียวในตลาดสามชุกเลยก็ว่าได้ 


กระเบื้องที่พื้นสังตรงจากประเทศอิตาลี



ห้องนอนของท่านขุนจำนงค์ จีนารักษ์


ตู้เย็นยี่ห้อ HITACHI หรือ MISHUBISHI ไม่แน่ใจครับแต่เป็นตู้เย็นที่ต้องใช้น้ำมันก๊าซ ถือว่าเป็นตู้เย็นรุ่นแรกๆเลยครับ


ส่วนอันนี้เป็นภาพวิถีชวนบ้านสามชุกสมัยก่อน ซึ่งเป็นภาพที่หาชมได้อยากมาก ปัจจุบันบ้านหลังนี้ทางลูกหลานของ "ท่านขุนจำนงค์ จีนารักษ์" เปิดให้เป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้สำหรับชุมชุน จะมีการทำสัญญาครั้งละ 10 ปี ปัจจุบันลูกหลานของท่านได้ย้ายมาอยู่ในกรุงเทพฯจนหมดแล้ว
ถัดจากเยี่ยมชมบ้านท่านขุนกันแล้วเราก็เดินตรงมาอีกเพียงนิดเดียวเราก็จะพบกับการแสดงของน้องๆนักเรียน และตรงที่น้องนักเรียนทำการแสดงอยู่นั่นก็เป็นที่ทำการอำเภอแหล่งแรกของอำเภอสามชุกครับ


ปัจจุบันย้ายไปอีกฝั่งของถนนในชมชนแล้วครับ พอเดินมาเรื่อยๆ เราก็มาสะดุดตากับร้านถ่ายรูปร้านหนึ่ง เราก็เลยคิดว่าจะเข้าไปถ่ายรูปเพื่อเป็นที่ระลึกเพราะไปเห็นฟิล์มรุ่นแรกซึ่งหายากมาก แต่ทางร้านบอกว่าเลิกถ่ายแล้วเพราะฟิล์มรุ่นนี้เขาเลิกผลิตแล้วหาซื้อไม่ได้เราจึงอด ได้แค่ใช้กล้องตัวเองถ่ายภาพบรรยากาศร้านมาฝากครับ



ดูแค่ชื่อร้านก็แนวสุดๆแหละ เจ้าของร้านน่ารักมาก สภาพร้านก็ยังคงเดิม ตลาดสามชุกมีอะไรหลายอย่างมากมายที่เราเองบางทีก็เพิ่งรู้สมัยเด็กเรามาที่นี่เดินผ่านบ่อยๆเราก็ไม่รู้ว่าที่นี่มันคืออะไรอย่างโรงแรมแห่งแรกในตลาดสามชุกผมก็เพิ่งรู้ว่ามี เปิดให้บริการสมัยก่อนเวลาคนล่องเรือมาส่งสินค้า และต้องรอรับสินค้ากลับ มาดูโรงแรมกันครับ

 
ผมเข้าไปสอบถามเจ้าของบ้านพี่เขาบอกยังมีห้องพักที่แบ่งเป็นห้องๆที่เปิดเป็นโรงแรมสมัยก่อนอยู่เลย ป้ายโรงแรมยังคงความคลาสสิคอยู่เลย มีโรงแรมแล้วก็ต้องมีจุดรวมพลไว้คอยเสวนากันสักหน่อยนั่นก็คือ "สภากาแฟ" ร้านนี้เป็นร้านกาแฟร้านแรกและร้านเดียวในตลาดสามชุกที่เปิดให้บริการตั้งแต่อดีตจนมาถึงยุคปัจจุบันครับ



ตอนเช้าๆคนสูงวัยเขาจะมานั่งจิบชา กาแฟ แล้วสนทนากันอย่างสนุกสนาน แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่ตลาดนี้มาด้วยกันก็เห็นจะเป็นต้นการะเวก หรือ กระดังงา ผมไม่แน่ใจ


แต่ที่แน่ๆผมเกิดมาและไปตลาดนี้ครั้งแรกก็เจอแล้ว และสมัยก่อนผมชอบไปซื้อขนมลูกชุบที่เขามาขายใต้ต้นนี้ด้วย คือแบบว่ามาแล้วต้องซื้อ ปัจจุบันตลาดสามชุกเปิดทุกวันครับส่วนใหญ่ก็เน้นไปทางของกิน ทานเล่นแต่ต้องของบอกว่าของที่นี่อร่อยเกือบทุกอย่างครับ

 
ร้านเป็ดพะโล้ร้านแรกของตลาดสามชุกครับ


ร้านขายเทปคาสเซตที่อยู่คู่กับตลาดมาเลยครับ สมัยเด็กผมมาอุดหนุนนบ่อยมากๆ แต่ละสิ่งอย่างยิ่งผ่านกาลเวลามันยิ่งทำให้เรานึกและมีคุณค่าทางจิตใจมากขึ้น ก่อนจากลาตลาดสามชุกผมก็มีภาพบรรยากาศบริเวณตลาดสามชุกมาฝากครับ





เห็นคนถ่ายรูปกันจังตรงป้ายตลาดร้อยปีสามชุกเราก็เลยต้องถ่ายบ้าง 55555 ถ่ายเมื่อตอนมาครั้งที่แล้วนะครับภาพนี้


เสร็จจากภาระกิจเที่ยวชม หาของกินที่ตลาดสามชุกแล้ว พี่สาวผมก็มารับเพื่อจะพาไปเที่ยวต่อ และสถานที่ต่อไปของเราก็คือ "บึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ" ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวดังติดอันดับต้นๆของประเทศเลยก็ว่าได้(มโนแป๊บ) บึงฉวากเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีเนื้อทีประมาณ 2,700 ไร่ เป็นที่นิยมในการมาทัศนศึกษาสำหรับเด็กๆ สำหรับตัวผมเองไม่ค่อยได้มีโอกาสไปสักเท่าไหร่นัก นี่ก็ตั้งแต่เขามีสัตว์น้ำทะเลนี่ถือว่าเป็นครั้งแรกของผมเหมือนกันครับ สำหรับการเที่ยวชมครั้งนี้เราเน้นไปทางดูสัตว์น้ำและโลกใต้น้ำ สำหรับอัตราค่าเข้าชมมี ทั้งหมด 2 ส่วนครับ จ่ายค่าผ่านประตูครั้งแรกในอัตราผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาทอันนี้จะสามารถเข้าไปดูสัตว์น้ำจืดและฟาร์มจระเข้ได้ ส่วนค่าผ่านประตูครั้งที่ 2 จะเป็นในส่วนของ Aquarium โลกใต้ท้องทะเลอัตราค่าเข้าชมน่าจะอยู่ที่ 150 บาท(เรื่องราคาตรวจสอบดูอีกครั้งครับเนื่องจากวันที่ผมไปนั้นพี่สาวเป็นคนจัดการให้) ในเมื่อพร้อมกันแล้วก็ลุยกันเลยครับ


เห็นแล้วพลาดไม่ได้เอาสักหน่อยเดี๋ยวเขาว่ามาไม่ถึง ส่วนแรกที่เราจะไปเป็นส่วนของโลกใต้ทะเลครับ ตื่นเต้นๆไม่เคยมาเหมือนกัน สำหรับอาคารนี้เป็นอาคารหลังล่าสุดที่มีการสร้างขึ้น นักท่องเที่ยวหนาพอสมควรครับ


อาคารนี้จะเป็นบันไดเลื่อน เลื่อนไปตามอุโมงค์ที่มีปลาว่ายลายล้อม สวยเพลินตาดีครับ ไม่ต้องเดินทางไปถึงทะเลก็เห็นปลาทะเลสีสันต์สวยงามได้ ไปๆดูปลากัน




อุโมงค์ก็อย่างที่เห็นในภาพครับ อุโมงค์จะพาเราไปจนสุดทางแล้วเราก็เดินนิดหน่อยก็จะเจออุโมงค์ที่เป็นในส่วนของปลาฉลาม อุ้ย!!! น่ากลัว


มีปลาฉลามหลายสิบตัวครับทั้งเล็กทั้งใหญ่ปะปนกันไปแต่เห็นเขี้ยวฉลามแล้วน่ากลัวมากฟันมันเยอะ พร้อมสำหรับขยี้เหยื่อให้แหลกในพริบตา พอๆเปลี่ยนเรื่องๆ ถัดจากปลาฉลามก็เป็นตู้จำลองทะเลทางฝั่งอันดามันครับมาดูกัน


ไม่ต้องไปไกลถึงทะเลอันดามันที่บึงฉวากก็มีนะครับ หลังจากเราท่องโลกใต้ทะเลจนเสร็จเราก็ไปต่อกันที่ฟาร์มจระเข้เลยครับ ผมเองก็เห็นในโซเชี่ยลเขาพูดกันว่าจระเข้ที่บึงฉวากเนี่ยฉลาด สามารถเข้าใจภาษาคนได้ด้วยพอมาถึงผมก็ถึงบางอ้อครับ บอกตรงๆเข้าใจคิดมากครับ ร้อนๆเหนื่อยๆมาพอเจอเข้าก็เรียกรอยยิ้มเราได้เหมือนกันครับ



ในส่วนของบ่อจระเข้นั้นก็จะลานแสดงความสามารถของคนกับจระเข้ด้วย ก็จะแบ่งเป็นรอบๆไปแต่ที่โชคดีคือขณะที่เราเดินดูบ่อจระเข้อยู่นั้นก็ใกล้เวลาที่เขากำลังจะทำการแสดงพอดีเลยครับ 




ภาพน้อยครับไม่มีเวลาถ่ายยืนเกร็งลุ้น เสียวมากๆ คนพากษ์การพากษ์ได้สนุกมากๆพี่เขามีมุกตลกสอดแทรกตลอดเวลาเลยครับ แต่ละแอคชั่นของพี่เขาเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้มากพอสมควรโดยเฉพาะผมเสียงดังกว่าใครเพื่อน ยิ่งตอนที่ทำให้จระเข้อ้าปากแล้วให้งับลงเสียงมันดังน่าตกใจมากครับ การแสดงใช้เวลาประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมงครับ หลังเสร็จสิ้นการแสดงผมก็ได้มีโอกาสได้ถ่ายรูปกับ "ไกรทอง" ด้วยนะ

 
แหม....ยังกับพี่น้องกัน 5555 ต้องขอบคุณพี่เขามากครับที่ช่วยกระตุ้นต่อมอะดีนาลีนในร่างกายให้พุ่งพ่านอีกครั้งก่อนที่จะหมดแรงไม่มีแรงเดินเที่ยวต่อ อ่อๆใครมีน้ำใจก็ให้ทิปพี่เขาได้นะครับเป็นสินน้ำใจ เพราะว่าการแสดงถือว่าเสี่ยงมากมาย เดินต่อกันดีกว่าครับหลังจากดูการแสดงจบเราก็มาเดินมาถึงส่วนสุดท้ายก็คือในส่วนของพันธุ์ปลาน้ำจืดครับ สำหรับอาคารพันธุ์ปลาน้ำจืดนี้เป็นอาคารแรกเลยครับนับตั้งแต่มีการพัฒนาบึงฉวากเป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็มีปลาน้ำจืดมากมายหลายชนิดครับ





ซึ่งปลาปลาบางชนิดเราก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต บ้างก็แค่ได้ยินแต่ชื่อถ้ามาที่นี่รับรองได้เห็นแน่ๆครับ อย่างปลาสวยงามก็มีครับ


มีตั้งแต่ปลาเล็กปลาน้อยจนปลาใหญ่อย่างปลาบึกครับ คือวันนี้เราไปกันนั้นถือว่าเป็นวันที่ดีและพอเหมาะกับเวลาทุกอย่าง เพราะขณะที่กำลังเดินดูปลาอยู่ก็ได้เวลาที่เจ้าหน้าที่(เป็นน้องนักเรียนที่หาร้ายได้พิเศษในช่วงปิดเทอมหรือวันหยุด) กำลังจะให้อาหารปลาพอดี เราก็ไม่ลืมที่จะเก็บภาพมาฝาก



ดูเอาครับทั้งปลาเล็กปลาใหญ่รุมน้องเขาใหญ่เลยครับและก็เสร็จในการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ แต่ยังไม่หมดนะครับเพราะบริเวณรอบบึงฉวากนั้นยังมีในส่วนของสวนสัตว์ด้วยนะครับมีสัตว์นานาชนิดมากมายหลายแบบไม่ว่าจะเป็น "สิงโต , เสือ , ลิง , อุรังอุตัง , ยีราฟ , นกนานาชนิด , เก้ง , กวาง ,ฯลฯ เยอะจริงๆครับนับไม่หมด ซึ่งถ้าเที่ยวแต่ละจุดต้องเช่ารถเที่ยวครับแต่เราไม่ได้มีเวลาเยอะเลยแค่ขับรถผ่านดูครับ และอีกส่วนหนึ่งที่น่าสนใจคือบ้านพักสไตย์รีสอร์ทที่บึงฉวากก็มีครับเป็นบ้านต้นไม้


เดี๋ยวสักวันจะต้องหาเวลามาพักให้ได้เท่าที่ผมสืบทราบมาสนนราคาอยู่ที่คืนละ 1,600 บาท/คืนครับราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง และนี่ก็คือภารกิจวันแรกที่เราได้มาเที่ยวและได้พบเจอกับสิ่งต่างในสถานที่ท่องเที่ยว เดินทางกลับบ้านกันดีกว่าครับคิดถึงแม่แล้ว
""วันที่ 17 พฤษภาคม 58 ได้เวลาเริ่มการเดินทางของวันใหม่เตรียมพร้อมไปเจอกับสิ่งใหม่ๆที่แต่วันไม่ซ้ำกัน เพราะชีวิตคนเราต้องการสิ่งแปลกใหม่ใส่ตัวอยู่เสมอ ก็เหมือนกับผมที่ต้องการหาสิ่งใหม่ที่ไม่เคยผ่านพบเข้าตัวเสมอเพื่อเก็บไว้ในความทรงใจ ความประทับใจ และประสบการณ์ วันนี้เราต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯแล้ว กลับเร็วเพราะจะพาแม่ไปกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตากันสักครั้งแต่พ่อไม่มา ดังนั้นผมจึงถือโอกาสแวะเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวในตัวเมืองไปด้วยเลยในตัวเมืองจังหวัดสุพรรณบุรีนั้นก็มีที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลักๆก็มีอยู่ 3 ที่ครับก็จะมี
1.หอดูดาว
2.ศาลหลักเมือง (มังกรใหญ่)
3.วัดป่าเลไลยก์
และอีกมากมายมายครับทั้ง เรือนขุนช้าง , เรือนขุนแผน , วัดแค(ต้นมะขามยักษ์) แต่ที่ผมยก 3 ที่นั้นมาเพราะเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงครับ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเราก็ไม่ได้มีเวลามากจึงเลือกที่จะไปเที่ยวกันที่วัดป่าเลไลยก์เพื่อไปนมัสการ "หลวงพ่อโต" ซึ่งเป็นประทานองค์ใหญ่ และนี่ถือเป็นครั้งแรกของผมเลยก็ว่าได้ เพราะมากี่ครั้งก็ไม่เคยได้เข้ามาในโบสถ์เลยแต่ครั้งนี้สมหวังสักทีได้เห็นได้สักการะสักที




ซึ้งครั้งแรกที่ผมได้เห็นก็เล่นเอาตาค้างไปเลยทีเดียว เกร็ดเล็กเกร็ดสำหรับประวัติวัดป่าเลไลยก์ครับ อันนี้สาระล้วนๆ
   "ในพงศาวดารเหนือกล่าวว่า ...พระเจ้ากาเตทรงให้มอญน้อย มาบูรณะวัดป่าเลไลยก์ ภายหลังปี พ.ศ. 1724 เล็กน้อย  หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ ศิลปะสมัยอู่ทอง สุพรรณภูมิ (คือประทับนั่งห้อยพระบาท)  มีนักปราชญ์หลายท่านว่า เดิมคงเป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา สร้างไว้กลางแจ้งอย่างพระพนัญเชิงสมัยแรกต่อมาได้มีการบูรณะ ซ่อมแซมใหม่ และทำเป็นปางป่าเลไลยก์ ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ภายในองค์พระพุทธรูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ 36 องค์ ที่ได้มาจากพระมหาเถรไลยลาย
และนี้ก็เป็นประวัติโดยย่อของวัดป่าเลไลยก์แห่งนี้นี่เอง อ่อๆเกือบลืมบอกไปว่าในวัดป่าเลไลยก์แห่งนี้เป็นที่ตั้งของ "เรือนขุนช้าง" ด้วยนะครับ 
""และนี่ก็เป็นทริปสั้นๆ 2 วัน 1 คืนในการเที่ยวบ้านเกิดตัวเองอย่างจริงจังครั้งหนึ่งทำให้เราได้พบเจอสิ่งใหม่เพราะคนในพื้นที่ส่วนใหญ่มักจะคิดว่าบ้านเกิดเราเที่ยวเมื่อไหร่ก็ได้ซึ่งบางครั้งมันอาจจะทำให้เราไม่ได้นึกถึงว่าบ้านเราก็มีดีไม่แพ้ที่ไหนเหมือนเพียงแค่ต่างกันตามลักษณะภูมิประเทศ วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต เพราะก็หล่อหลอมเราเป็นชาติเดียวกัน
""ข้อเสนอแนะในการเที่ยวตลาดร้อยปีสามชุก-บึงฉวาก เพื่อเป็นแนวทางครับ(สำหรับคนไม่มีรถ)
-ค่ารถตู้จากอนุสวรีย์ 140 บาท/คน
-ถ้าเป็นคนชอบกินแนะนำให้เอาเงินมาเยอะๆเพราะตลาดร้อยปีมีของกินเยอะมาก
-ถ้าจะไปบึงฉวากต่อให้ข้ามสะพานตรงตลาดร้อยปีไปฝั่งตลาดหลักสายเอเชีย และนั่งต่อไปลงที่ตลาดท่าช้าง
-ถ้าคุณถึงที่ตลาดท่าช้างให้คุณเช่าวินมอร์ไซค์ไปส่งที่บึงฉวากค่ารถประมาณ 150 บาทถ้าแพงกว่าก็หัดต่อบ้าง
-ควรขอเบอร์วินมอร์ไซค์ไว้ด้วยเผื่ออยากให้เขามารับตอนเที่ยวเสร็จ เพราะไม่มีรถประจำทางเข้าถึง
-ถ้าไม่ให้วินมอร์ไซค์มารับก็หาโบกรถเขาออกมาผมเชื่อว่าต้องมีคนจอด
-ขึ้นรถจากตลาดท่าช้างกลับกรุงเทพฯ ค่ารถประมาณ 160 บาท
-คนสุพรรณฯ พูดเหน่อถือว่าเป็นเอกลักษณ์และมีความจริงใจสูง
-เที่ยวกลับมาแล้วอย่าลืมมาเล่าให้อื่นฟังบ้างเขาจะได้รู้สุพรรณฯนั้นไม่ธรรมดา
-จงอย่าอิจฉาถนนในจังหวัดผม

**************************************************
                  "ภาพส่งท้าย"


ที่ผมเขียนรีวิวนี่ขึ้นมาเพื่ออยากให้คนไทยได้รู้ว่าเมืองไทยมีที่สวยๆให้เราเที่ยวอีกเยอะแยะมากมาย ช่วยกันเที่ยว ช่วยกันรักษา มิได้มีความตั้งใจที่จะโอ้อวด และผมหวังว่ารีวิวนี้ของเราจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่รักการเดินทางเหมือนเรา "เที่ยวทั่วไทยไปได้ทุกเดือน" 

                              "สวัสดี"

*******😍😗😜************😆😘☺️*******

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

ทริปนี้ที่โฮมสเตย์



""สวัสดีครับเพื่อนๆพี่ๆน้อง เที่ยวทั่วไทยไปได้ทุกเดือนกลับอีกครั้งและทริปนี้เราสองคนตัดสินใจไปเที่ยวแบบโฮมสเตย์บ้าง ลองเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้าง ครั้งแรกจะไปโฮมสเตย์ที่จันทรบุรีแต่เต็มทุกที่ เราสองคนเลยตัดสินใจเปลี่ยนไปที่ระยองครับ ที่ปากน้ำประแสร์ อำเภอแกลง เราเดินทางโดยรถตู้โดยสารจากอนุสวรีย์ ผมออกเดินทางจากกรุงเทพฯเวลาประมาณ 9:30 น.


การเดินทางครั้งนี้เราต้องขึ้นรถที่จะไปจังหวัดจันทรบุรี แต่อย่าลืมบอกคนขับรถนะว่าเราต้องลงรถตรงแยกประแส เจ้าของโฮมสเตย์(พี่อ้วน) นัดเจอเราสองคนที่นี่เพื่อรับไปที่โฮมสเตย์ พี่อ้วนใจดีมาก พูดจาไพเราะ ชวนฟัง พี่เขาอธิบายให้เรา 2 คนฟังทุกอย่างเกี่ยวกับที่นี่รวมถึงสถานที่เที่ยวต่างๆ พี่แกบอกว่าโฮมสเตย์เขาเปิดมา 5-6 ปีแล้ว


อ่อๆลืมบอกไปจากแยกประแส มาจนถึงโฮมสเตย์ระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร เราสองคนเดินทางมาถึงโฮมสเตย์เวลาประมาณ 13:00 น. พี่อ้วนจอดรถไว้ข้างนอกแล้วพาเราสองคนเดินลัดเลาะตามชุมชนเขามายังที่พัก หน้าที่พักมีศาลเจ้าด้วยนะ




ผมสืบทราบมาว่าที่โฮมสเตย์ที่นี่เดิมเป็นที่จอดของเรือประมง ตามกันต่อครับ พอถึงที่พักพี่อ้วนก็ให้เราสองคนเลือกห้องว่าอยากพักห้องไหน ประมาณว่าใครมาก่อนเลือกก่อน พี่เขามีที่พักแบบ 2 คนและแบบหมูคณะตั้งแต่ 6-50 คนครับ


โฮมสเตย์และชวนบ้านที่นี่เขารวมตัวกันส่งเสริมการท่องเที่ยวได้ดีมากเลยครับ ตามวิถีชาวบ้าน ชุมชนชาวบ้านปากน้ำประแสเป็นชุมชนเก่าแก่ บ้านช่องถือว่ายังคงสภาพดังเดิมอยู่มากครับ
""เวลาประมาณ 14:00 น. รถสามล้อของชุมชนก็มารับเราไปเที่ยวบริเวณรอบๆหมู่บ้านรวมถึงสถานที่ต่างๆที่ใกล้เคียง คนขับรถและไกด์ท้องถิ่นของผมวันนี้คือ "พี่มล" เดี๋ยวพี่เขาจะพาเราแวะกิน แวะเที่ยวกันครับ




พร้อมเดินทางไปกับเราหรือยังครับ ล้อหมุนลุย อยากกิน อยากเที่ยว อยากแวะไหนบอกพี่มลได้เลยครับ พี่เขาขับพาลัดเลาะไปในชุมชนและพาแวะกินก๋วยเตี๋ยวก่อนเลยเป็นจุดแรกเพราะเราสองคนเดินทางมาตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยจึงต้องเติมพลังกันสักหน่อยจะได้มีเรี่ยวแรงเดินทางกัน เราสองคนใช้เวลาสักพักหนึ่งพอเสร็จสิ้นก็ออกเดินทางกันต่อ พี่มลพามาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่หมู่บ้านและเราแทบจะเจอเกิบทุกที่ถ้าเราได้ไปเที่ยวทางทะเลทางภาคตะวันออก


สักการะศาล "สเด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพร" ซึ่งเป็นบิดาของการเรือไทย ขอพรเอากฤษ์เอาชัยกันแล้วก็อิกเดินทางกันต่อเลยครับ พี่มลพาเราสองคนแวะเข้าไปในวัดเพื่อเข้าไปดูต้นตะเคียนยักษ์ 2 ต้นอายุประมาณ 500 ปีและ 300 ปีตามลำดับครับ ตั้งแต่เกิดมาผมก็เพิ่งเคยเห็นต้นตะเคียนที่ยังยืนต้นอยู่ พอออกจากวัดเราสองคนพร้อมด้วยพี่มลก็มุ่งหน้าสู่แหลมแม่พิมพ์ซึ่งเป็นจุดชมวิว แต่ระหว่างทางเราวิวถ่ายรูปกันที่ "สะพานประแสสิน" เป็นสะพานข้ามแม่น้ำประแสร์ 




วิวปากแม่น้ำประแสร์ไหลลงสู่ทะเลทางด้านตะวันออกของประเทศ อยากบอกว่าคนจอดรถถ่ายรูปบนสะพานเยอะเหมือนกันนะเนี่ย วิวสวย ลมพัดเย็นชื่นใจ พอถ่ายรูปจนหนำใจแล้วก็เดินทางกันต่อเลยครับ เราสองคนมุ่งหน้าสู่แหลมแม่พิมพ์และจะไปดูเรือรบประแสกันสักหน่อย พอมาถึงพี่มลก็จอดสามล้อให้เราเดินเที่ยวชมตามสบาย เราสองคนก็ไม่ลืมที่เก็บภาพถ่ายที่เราคิดว่าสวยมาฝากกัน


ต้องขอบอกก่อนนะครับว่าหาดบริเวณนี้ไม่ค่อยสวยสักเท่าไหร่เพราะมันเป็นปากแม่น้ำที่ไหลลงสู่ทะเล แต่เราก็จะเห็นผู้คนออกมาทำประมงชายฝั่ง เช่น ตกปลา หาหอย เหวี่ยงแห ฯลฯ แต่ดูแล้วก็เพลินตาดีครับ ได้เห็นวิถีชีวิตคนท้องถิ่นโดยส่วนตัวแล้วผมชอบมาก อ่อๆลืมบอกไปว่าเกาะ 3 เกาะที่เห็นอยู่ด้านหลังนั่นก็คือ เกาะมันใน มันกลาง และมันนอกและพรุ่งนี้เราจะได้ไปที่นั่นแล้ว ยกเว้น "เกาะมันนอก" ณ จุด จุดนี้เราหัดไปให้ความสนใจเรือใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆเรานี่



และนี่คือ "เรือรบประแส" เป็นเรือรบขนาดไหนผมไม่ทราบแต่สำหรับผมมันใหญ่มาก เป็นเรือรบที่ถูกปลดประจำการมาแล้วหลายสิบปี แต่มีการเขาขึ้นมาตั้งโชว์ไว้ที่ปากน้ำประแสร์เมื่อปี 2546 เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวของชุมชน เป็นการให้ความรู้ต่อคนในชุมชนอีกด้วย รวมถึงเป็นสัญลักษณ์ทางด้านการท่องเที่ยวให้กับคนในชุมชนนี้อีกด้วย แต่ใกล้ๆเรือรบนี้ยังมีอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ "ป่าชายเลน"


เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติทางป่าชายเลนและระบบนิเวศชายฝั่งด้วย ต้นโกงกางสีเขียวสนใส ได้พบเจอสัตว์นานาชนิดไม่ว่าจะเป็น ปู หอย ปลาตีน นก ปลาเล็กปลาน้อย



ป่าชายเลนแห่งนี้มีสะพานไม้ให้เราเดินชมธรรมชาติยาวตลอดแนวป่าโกงกางเลยครับอ่อๆผมลืมบอกไปครับว่าเส้นทางนี้สามารถเดินทะลุไปจนถึงป่าชายเลนที่ขึ้นชื่อของที่นี่เลยครับชื่อว่า "โปรงทอง" แต่ระยะทางก็เหนื่อยเอาการครับประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่ง "โปรงทอง" ถือว่าเป็นไฮไลค์ของที่นี่เหมือนกันแต่เป็นที่น่าเสียดายครับผมไม่ได้ไป พี่มลแจ้งว่าสะพานที่ทำไว้ให้เดินชมมันเกิดพังอยู่ระหว่างการซ่อมแซม จนไม่สมารถเข้าไปดูได้ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา พอออกจากป่าโกงกางเราก็เดินทางกลับโฮมสเตย์ เพื่อพักผ่อนหลังจากเดินทางและเที่ยวเกิบตลอดทั้งวัน ขอบอกเลยว่าเหนื่อและเพลียมาก
""เวลาประมาณ 17:00 น. เราสองคนก็อยากออกสำรวจชุมชนประแสร์ โดยการปั่นจักรยานเที่ยวชมบริเวณในตัวตลาดของชุมชน เอา ปั่นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


ปั่นไปชมวิถีชาวบ้านไป ดูเงียบสงบ เรียบง่าย แต่มีสไตย์ ของชาวบ้านผสมอยู่ รวมกลับนั่งคุย ทักทายกัน ดูเป็นภาพชินตาที่เราเคยสัมผัสก่อนเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ คิดแล้วอยากกลับไปใช้ชีวิตแบบนี้จัง เห็นชาวบ้านบอกว่าเขาจะมี "ถนนคนเดิน" ด้วยมีพูดถึงก็ดีนะเป็นการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชนนอกเหนือจากการทำประมงแต่โดยส่วนตัวแล้วกลัวเพราะว่า เมื่อมีการเจริญเติบโตทางด้านการท่องเที่ยวแล้วมันจะทำลายวิถีชาวบ้าน ท่องเที่ยวแล้วมันต้องรักษาอย่าพัฒนาจนลืมวิถีดั้งเดิม ดราม่านิดหนึ่ง พอปั่นจักรยานมาได้สักพักเราสองคนก็หิวและเหนื่อยจึงแวะไปถ่ายรูปตอนที่พระอาทิตย์กำลังจะตกก่อนจะเดินทางกลับโฮมสเตย์


""เวลา 18:00 น. เวลาที่ผมรอคอยและเวลาแห่งความสุขของเราก็มาถึง เวลาอาหารเย็นมาถึงแล้ว นี่พูดเลย ฟินสุดๆ พี่อ้วนและแม่ครัวจัดเตรียมโต๊ะให้แต่ละกลุ่มนั่ง จาน ถ้วย ชาม ช้อน น้ำ พร้อม สำหรับเมนูอาหารของเราในวันนี้ก็คือ ทอดมันกะทิ ปูนึ่ง กุ้งนึ่ง ปลาทอด(ผมไม่รู้ว่าปลาอะไร) ปลาหมึกทอดกระเทียม หอยแครงลวก ปลาหมึกต้ม และตบท้ายด้วยผลไม้รวม รายการอาหารข้างต้นนี้สำหรับเราสองคนนะ อิอิ(สามารถขอเพิ่มได้นะครับหากอาหารไม่หมดแม่ครัวเขาจะเพิ่มให้) ผมบอกตรงๆอร่อยมาก และอิ่มชนิดที่ว่าอึดอัดตัวเองมาก อิ่มจนทรมาน มาดูอาหารกัน มีรูปน้อยนะเนื่องจากอดใจไม่ไหว





ดูเอาเองแล้วกันนะครับว่าฟินขนาดไหน กับข้าวอร่อยเกิบทุกอย่าง ต้องยกนิ้วให้แม่ครัวและต้องขอบคุณทุกคนที่โฮมสเตย์มากๆเลยครับที่ทำอาหารให้เรากินอิ่มถึงขนาดจุกกันไปเลย ฮ่าๆ แต่ยังไม่หมดนะ ในเมื่อมีของคาวลงคอต่อด้วยของหวาน ผลไม้อีกจานหมดลงอย่างว่องไว อิ่มแล้วน่าไม่อายบ่นมาได้ว่าจุก ประหนึ่งเหมือนว่าเสียดสีตัวเอง อีกหนึ่งเมนูปิดท้ายของผมก็คือ


ข้าวเหนียวมะม่วงนี่เอง หอม หวาน มัน อร่อยมากๆ แต่ข้าวเหนียวมะม่วงไม่ได้รวมอยู่ในเมนูของโฮมสเตย์นะ เราซื้อกันมาเอง นี่พูดเลยอร่อยมากๆ หลังจากินข้าวเสร็จ ของคาว ของหวาน ผลไม้ เรียบร้อยก็นั่งพักกันตามอัธยาศัยครับ เราก็มีดื่มเบียร์กันบ้าง กลุ่มอื่นๆเขาก็ดื่มกันคุยกัน แล้วยังคาราโอเกะให้ร้องด้วยนะครับจะบอกให้ การดื่มบางทีก็สร้างมิตรภาพได้เหมือนกันเหมือนกับทริปนี้ของผมซึ่งพวกพี่ๆเขาก็มาชวนนั่งกิน ชวนคุย ชวนร้องเพลง สนุกสนานดีครับ และยังทำให้การเที่ยวครั้งนี้ดูมีสีสันขึ้นมาทันตา
""เวลาประมาณ 22:00 น. ผมก็ไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวนอน(ห้องน้ำรวมต้องเข้าคิว) เนื่องจากพรุ่งนี้เราจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปตลาดเช้าของที่นี่ มาดามผมอยากใส่บาตรไหว้พระทำบุญ ฝันดีครับ 😘

**************************************************
""วันที่ 26 เมษายน 2558 เวลาประมาณ 06:00 น. เราสองคนตื่นแต่จริงๆแล้วผมตื่นตั้งแต่ตี 5 แล้วเพราะได้ยินเสียงแม่ครัวทำกับข้าว เราตื่นล้างหน้าแปรงฟัน เพื่อเตรียมตัวไปตลาดเช้า พร้อมแล้วก็คว้าจักรยานปั่นไปตลาดกันเลย


ตลาดเช้าที่นี่เป็นตลาดเล็ก มีของขายมากพอสมควร มีทั้งอาหารคาว หวาน ของสด สภากาแฟ ผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อของกัน





เราสองคนเดินดู และเดินหาซื้อของเพื่อจะไปใส่บาตรพระในตอนเช้านี้ ที่ซื้อมาก็มี กับข้าว 1อย่าง ของหวาน ข้าวเปล่า น้ำดื่ม เมื่อข้าวของครบก็รอพระมา


 
ตักบาตรรับพรจากพระเสร็จเราก็เดินหาซื้อขนมเพื่อเตรียมไปกินบนเรือตอนที่ออกไปดำน้ำ พอเสร็จสิ้นภารกิจที่ตลาดเช้าเราสองคนก็กลับไปที่โฮมสเตย์เพื่อเตรียมตัวทานอาหารเช้าที่โฮมสเตย์เตรียมไว้ให้ อาหารเช้านี้ก็มี กาแฟ โอวัลติน ปลาท่องโก๋ และข้าวต้มทะเล



ต้องขอบอกเลยว่าข้าวต้มอร่อยดีครับ สดชื่นได้ซดอะไรร้อนๆตอนเช้าเนี่ย หลังจากเวลาอาหารเช้าววันนี้คือการออกเดินทางไปยังเกาะมันในและมันกลางเพื่อไปดำน้ำดูปะการังน้ำตื่น วันนี้ได้ขึ้นเรือใหญ่เพราะวันนี้มีคนทั้งหมด 28 คนไม่รวมกัปตันและลูกเรือ
""เสร็จสิ้นอาหารเช้าก็จะเตรียมตัวเองให้พร้อมก่อนออกเดินทาง หมายกำหนดการเดินเรือเวลา 09:00 น. แต่เนื่องด้วยแม่ครัวเตรียมอาหารกล่องให้เราไม่ทันเลยออกช้ากล่าวเดิมประมาณ 40 นาที
""เวลาประมาณ 09:40 น. พวกเราออกเดินทางจากท่าเรือโฮมสเตย์ คนขับเรื่องแจ้งว่าใช้เวลาประมาณ 40 นาทีถึง 1 ชั่วโมงในการเดินทางครั้งนี้ เมื่อพร้อมกันแล้วก็ลุย



ถอนสมอ ติดเครื่อง ออกเดินทาง เรือออกจากท่า มิตรภาพเริ่มก่อตัวขึ้นครับ ผมกับแฟนก็นั่งชิวๆตามสไตย์


เราสองคนนั่งอยู่บนชั้น 2 ของเรือมีทั้งหมด 11 คน แยกออกเป็น ผมกับแฟน 2 คน อีก 2 กลุ่มมี 3 คนและ 6 คนตามลำดับ บนเรือมีน้ำดื่ม น้ำอัดลม น้ำแข็งให้บริการ ส่วนใครจะเอาเหล้าเบียร์ไปก็ต้องบริการตนเองนะครับ นอกจากจะมีเครื่องดื่มบริการแล้วยังมี คาราโอเกะ ให้เราได้แหกปากร้องอีกด้วยชนิดว่าว่าปลายังต้องว่ายน้ำหนี คนบนเรือก็สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันร้องอย่างสนุกสนาน และทำให้ผมได้รู้จักกับพี่คนหนึ่งแกเป็นทอม พี่เขาเป็นคนเฮฮา ร้องเพลงนั่งดื่มของแกอยู่คนเดียว สักพักแกคงเหงาเลยเอาแก้วมาชงเหล้าให้ผม สงสัยแกคงกลัวเมาเพราะเหล้า 1 ขวดแกคงกินไม่หมด ฮ่าๆ


แกบอกว่าต้องดื่ม ต้องร้องเพลง เดี๋ยวเมาคลื่น ดีครับมันคือความสุขและการสร้างมิตรภาพ เรือแล่นไปเรื่อยๆ พวกเราก็เพลิดเพลินกับการชมผืนทะเลที่ทอดยาวสุดลูกหู ลูกตา จะสะดุดตาบ้างก็ตอนมองไปเจอเกาะนี่แหละ 


""เวลา 11:30 น. เราเดินทางมาถึงจุดแรกนั่นก็คือ เกาะมันใน พอเรือจอดปุ๊บเราก็ได้รับการต้อนรับจากเจ้าถิ่นเลยครับ ซึ่งมันเป็นอะไรที่สวยงามมากๆเลยครับ



ปลาที่นี่สวยมาก มันเป็นอะไรที่เราไม่เคยราดคิดมาก่อนว่าเราจะเจออะไรแบบนี้ เที่ยวทะเลมาก็ไม่ใช่น้อยไม่เคยเห็นเลย เรือจอดเทียบท่าแล้ว ลูกเรือที่ดูแลเราจะพาเราไปเดินชมเกาะกัน ต้องบอกก่อนเลยว่า เกาะมันใน นั้นเป็นเกาะที่เอาไว้เพื่อเพาะพันธุ์เต่าทะเลและปล่อยคืนสู่ธรรมชาติครับ ยินดีต้อนรับสู่ "เกาะมันใน"


ระยะทางจากท่าเรือเดินไปยังศูนย์เพาะพันธุ์เต่าทะเลประมาณ 1 กิโลเมตร เดินชิวๆเพลินๆ ร้อนแดดนิดหน่อยก็ถือว่าสบายๆครับ



วันที่เราไปนั้นมีหลายคณเดินทางมายังเกาะที่เห็นมีทีมถ่ายภาพกลุ่มใหญ่ และทีมศึกษาธรรมชาติทางทะเล เดินมาสักระยะเราก็เดินทางมาถึง "ศูนย์เพาะพันธุ์เต่าทะเล"



ที่นี่มีทั้ง พ่อ-แม่พันธุ์ และลูกเต่าทะเล มีหลายบ่อมากๆ



เห็นแล้วอดเห็นใจเจ้าหน้าที่ที่ช่วยกันเพาะพันธุ์เต่าทะเล เพื่อให้ธรรมชาตินี้ยังคงอยู่ พอเที่ยวชมบ่อเลี้ยงเต่าใจครบเราก็เดินกลับมายังท่าเรือ ระหว่างทางเจอมุมสวยๆ เราก็ไม่พลาดที่เก็บภาพสวยๆมาฝากครับ



สวยพอใช่ได้มั้ยครับ โดนแอบถ่ายด้วย อิอิ เดินกลับๆ เสียเวลามามากแล้ว ต้องไปดำน้ำกันต่อเร็วๆ
อ่อๆลืมบอกไปครับ ผมอ่ะเป็นคนรักธรรมชาตินะแต่อดไม่ได้ที่จะแอบเก็บทรายตามชายหาดมาใส่ขวดมาเก็บสะสมไว้ เก็บทุกที่ที่เขาให้นะครับ ที่ไหนเขาไม่ให้ก็ไม่เอา


เดินกลับมาถึงเรือ พี่ๆที่เรือเขาก็เตรียมอาหารกลางวันไว้ให้พวกเราเรียบร้อย ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว อาหารมื้อนี้มี ข้าวกล่องเป็น ข้าวกระเพราทะเล ผัดซีอิ้วทะเล อีกอย่างคล้ายทอดมันเอาไปพันไม้แล้วปิ้ง ของหวานมีผลไม้ บอกตรงๆนะครับว่าอาหารที่เตรียมไว้ไม่ขี้เหร่เลย


ทานอาหารกันสักพัก ก็เตรียมตัวออกเดินทางไปยังเกาะมันกลางเพื่อไปดำน้ำซึ่งเป็นไฮไลท์ของทริปนี้ ช่วงเวลาที่เตรียมพร้อมบางคนก็กระโดดน้ำเล่นคลายร้อนกันอย่างสนุก
""เวลาประมาณ 12:30 น. เรือออกจากท่ามุ่งหน้าสู่เกาะมันกลางเพื่อจะไปดำน้ำดูปะการังน้ำตื่น มันเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก วันนี้ที่รอคอย ผมรักการดำน้ำ


อุปกรณ์พร้อม เราก็เตรียมลุยกันได้เลย





ปะการังที่นี่ ถ้าเทียบกับเกาะกูดที่ผมไปมาเมื่อเดือนมีนาคมแล้ว ต้องยอมรับว่าเกาะกูดสวยกว่า แต่ก็ถือว่าไม่ขี้เหร่ครับ เพราะน้ำตื่นมาก คนว่ายน้ำไม่เป็นแค่ใส่ชูชีพก็ลอยแล้ว ยอมรับเลยว่าที่นี่ "หอยมือเสือ" เยอะมาก




แต่ละตัวใหญ่ๆทั้งนั้นเลยครับ เดี๋ยวเรามาดูมุมอื่นๆของโลกใต้น้ำกันบ้างครับ








มันเป็นช่วงเวลาที่ผมกับแฟนมีความสุขมากเลยครับ มันเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากเลยครับ อ่อๆลืมไปว่าเรามีอะไรมาอวดด้วยครับ ฝูงปลาเป็นร้อยๆพันๆตัวเลยครับ






ปลาสวยๆจากเกาะมันในครับ ผมยอมรับเลยนะครับว่า มันฟินมากๆและไม่อยากกลับไปเลยอยากจะอยู่ต่ออีกสักคืน แต่ถ้าอยู่คงเหงาเพราะพี่อ้วนบอกว่าวันนี้ไม่มีแขกว่าพักถ้าอยู่ก็อยู่กันสองคน ฮือๆ
""เวลาประมาณ 14:15 น. สิ้นสุดเวลาที่เราได้ดำน้ำและจะต้องเดินทางกลับไปยังโฮมสเตย์และเตรียมตัวเดินทางกลับมาสู่โลกแห่งความวุ่นวายอีกครั้ง


พอกลับมาถึงโฮมสเตย์ เราก็อาบน้ำ เก็บของ ต้องบอกเลยว่า ต้องเข้าคิวอาบน้ำ เลยทำให้เราออกจากโฮมสเตย์ช้านักท่องเที่ยวทยอยออกจากที่พักเรื่อยๆ
""เวลาประมาณ 15:40 น. เราสองคนออกจากโฮมสเตย์ พร้อมกล่าวคำอำลา แม่ครัว และทุกคนที่นั่น รวมถึงมิตรภาพที่เพิ่งบังเกิดขึ้น ขอบใจเจ้ทอม ที่ดื่มกิน สร้างความเฮฮา และทำให้ทริปนี้ของเราสองคนมีความสุขมากๆครับ
""เราสองคนตกลงกันว่าเราจะเที่ยวทุกเดือนเพราะเรารักการเดินทางแต่นี่เป็นเพียงรีวิวที่สองของเราเท่านั้น""
""สิ่งที่น่ารู้ในการไปเที่ยวทริปนี้ที่โฮมสเตย์เพื่อเป็นแนวทางครับ
-ค่าที่พัก + อาหาร 3 มื้อ + กิจกรรม + รถรับส่งมายังโฮมสเตย์ 2,200/คน
-เข้าที่พักแล้วมีสามล้อบริการให้เที่ยวฟรี สินใจน้ำใจแล้วแต่เรา
-อาหารขึ้นอยู่กับวัตถุดิบท้องถิ่น
-อย่าลืมผ้าเช็ดตัวและอุปกรณ์อาบน้ำ
-อย่าตั้งความหวังไว้มากเพราะโฮมสเตย์ ไม่ใช่โรงแรม หรือ รีสอร์ท
-ทำความเข้าใจการท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ให้มาก
-แนะนำให้ไปวันเสาร์ - อาทิตย์ หรือวันที่มีคนไปเที่ยวเยอะ เพราะไม่งั้นคุณเหงาแน่ๆ
-หากคนน้อยเรือจะไม่ออกพาไปดำน้ำ แต่ถ้าออกคุณต้องจ่ายเงินเพิ่ม 2,000 บาท
-ก่อนไปโทรจองก่อนดีที่สุด
-อย่าทำลายธรรมชาติโดยการทิ้งขยะ สิ่งที่เก็บมาคือความทรงจำและภาพถ่าย
ปล. ชุมชนปากน้ำประแสร์เป็นชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำประแสร์ บ้านเก่าแต่ละหลังอายุเกิบร้อยปี คนในชุมชนผ่านการอบรมเป็นมัคคุเทศน์ท้องถิ่น และมีสามล้อที่อดีตเอาไว้รับส่งชาวประมงมาเป็นรถนำเที่ยว
**************************************************
                   "ภาพถ่ายส่งท้าย"







ที่ผมเขียนรีวิวนี่ขึ้นมาเพื่ออยากให้คนไทยได้รู้ว่าเมืองไทยมีที่สวยๆให้เราเที่ยวอีกเยอะแยะมากมาย ช่วยกันเที่ยว ช่วยกันรักษา มิได้มีความตั้งใจที่จะโอ้อวด และผมหวังว่ารีวิวนี้ของเราจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่รักการเดินทางเหมือนเรา "เที่ยวทั่วไทยไปได้ทุกเดือน" 

                              "สวัสดี"

*******😍😗😜************😆😘☺️*******