""วันที่ 16 พฤษภาคม 58 เราออกเดินทางจากที่พักเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางของเรา ครั้งนี้เรามาขึ้นรถที่เดิมที่คุ้นเคยก็คือที่อนุสวรีย์ เราซื้อตั๋วไปลงที่ "ตลาดร้อยปีสามชุก" ค่ารถคนละ 140 บาท/คน ถ้าจะไปตลาดสามชุกสามารถขึ้นรถได้ 2 จุดคือ
1.กองฉลาก แถวๆแยกคอกวัว
2.อนุสวรีย์ชัยสมรภูมิ
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2-3 ชั่วโมง ทริปนี้เรานัดกับที่บ้านมารับเราที่ตลาดสามชุกเพื่อยังไปเที่ยวจุดอื่นๆตามที่วางแผนกันเอาไว้ครับ นั่งรถมาสักพักก็เข้าเขต "จังหวัดสุพรรณบุรี"
เมื่อเข้าเขตจังหวัดสุพรรณฯแล้วก็อีกประมาณ 45 นาทีก็ถึงตลาดสามชุก ซึ่งเป็นจุดแรกของทริปนี้ ก่อนจะถึงตลาดสามชุกก็จะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็น "หอดูดาว , ศาลหลักเมือง , ตลาดเก่าศรีประจันต์ , บ้านควาย"
รถตู้จอดเทียบท่าแล้ว เย้ๆ "ยินดีต้อนรับสู่ตลาดร้อยปีสามชุก" อยากจะบอกว่าตลาดสามชุกเนี่ยผมมาบ่อยมาสมัยตอนเด็กๆตั้งแต่ยังไม่ได้พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ทันได้เห็นที่ทำการอำเภอหลังเก่า สะพานข้ามแม่น้ำท่าจีนอันเดิม เพราะตอนเด็กพอเราได้เห็นใครขับรถมอร์ไซค์ขึ้นสะพานนี้ได้ถือว่าเก่งเนื่องจากสะพานไม้อันเดิมมันสูงมากๆ
รูปนนี้เป็นสะพานใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นทดแทนอันเดิมเพราะอันเดิมใช้มานานแล้วอาจจะพังได้ในหน้าน้ำหลากจึงมีการเปลี่ยนแปลง(แอบเสียดายนะ) เพื่อความคงทนแข็งแรงในหน้าน้ำหลากและอายุใช้สอยที่ยาวนานขึ้น เรายืนถ่ายรูปอยู่ก็ชำเรืองมองเห็นพี่วณิพกคนหนึ่งนั่งร้องเพลงเพื่อชีวิตขับกล่อม เเรกเศษเงินผู้คนที่ผ่านไปมา เสียงพี่เขาใช้ได้เลยครับ
ตลาดสามชุกเป็นตลาดที่ผมผูกพันธ์มากพอสมควรเพราะตอนเด็กๆผมมาที่นี่บ่อยมากๆเทียบจะทุกเดือนเลยก็ว่าได้ บางครั้งเดือนหนึ่งมา 2-3 ครั้ง/เดือน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าที่ตลาดสามชุกนั้นมีก็ "บ้านท่านขุนจำนงค์ จีนารักษ์" ซึ่งท่านมีตำแหน่งหน้าที่เป็นนายอากร คือเป็นคนเก็บภาษีนั่น และมีศักดินาทั้งหมด 400 ไร่ถือว่าเป็นท่านขุนคนเดียวในตลาดสามชุกเลยก็ว่าได้
กระเบื้องที่พื้นสังตรงจากประเทศอิตาลี
ห้องนอนของท่านขุนจำนงค์ จีนารักษ์
ตู้เย็นยี่ห้อ HITACHI หรือ MISHUBISHI ไม่แน่ใจครับแต่เป็นตู้เย็นที่ต้องใช้น้ำมันก๊าซ ถือว่าเป็นตู้เย็นรุ่นแรกๆเลยครับ
ส่วนอันนี้เป็นภาพวิถีชวนบ้านสามชุกสมัยก่อน ซึ่งเป็นภาพที่หาชมได้อยากมาก ปัจจุบันบ้านหลังนี้ทางลูกหลานของ "ท่านขุนจำนงค์ จีนารักษ์" เปิดให้เป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้สำหรับชุมชุน จะมีการทำสัญญาครั้งละ 10 ปี ปัจจุบันลูกหลานของท่านได้ย้ายมาอยู่ในกรุงเทพฯจนหมดแล้ว
ถัดจากเยี่ยมชมบ้านท่านขุนกันแล้วเราก็เดินตรงมาอีกเพียงนิดเดียวเราก็จะพบกับการแสดงของน้องๆนักเรียน และตรงที่น้องนักเรียนทำการแสดงอยู่นั่นก็เป็นที่ทำการอำเภอแหล่งแรกของอำเภอสามชุกครับ
ปัจจุบันย้ายไปอีกฝั่งของถนนในชมชนแล้วครับ พอเดินมาเรื่อยๆ เราก็มาสะดุดตากับร้านถ่ายรูปร้านหนึ่ง เราก็เลยคิดว่าจะเข้าไปถ่ายรูปเพื่อเป็นที่ระลึกเพราะไปเห็นฟิล์มรุ่นแรกซึ่งหายากมาก แต่ทางร้านบอกว่าเลิกถ่ายแล้วเพราะฟิล์มรุ่นนี้เขาเลิกผลิตแล้วหาซื้อไม่ได้เราจึงอด ได้แค่ใช้กล้องตัวเองถ่ายภาพบรรยากาศร้านมาฝากครับ
ดูแค่ชื่อร้านก็แนวสุดๆแหละ เจ้าของร้านน่ารักมาก สภาพร้านก็ยังคงเดิม ตลาดสามชุกมีอะไรหลายอย่างมากมายที่เราเองบางทีก็เพิ่งรู้สมัยเด็กเรามาที่นี่เดินผ่านบ่อยๆเราก็ไม่รู้ว่าที่นี่มันคืออะไรอย่างโรงแรมแห่งแรกในตลาดสามชุกผมก็เพิ่งรู้ว่ามี เปิดให้บริการสมัยก่อนเวลาคนล่องเรือมาส่งสินค้า และต้องรอรับสินค้ากลับ มาดูโรงแรมกันครับ
ผมเข้าไปสอบถามเจ้าของบ้านพี่เขาบอกยังมีห้องพักที่แบ่งเป็นห้องๆที่เปิดเป็นโรงแรมสมัยก่อนอยู่เลย ป้ายโรงแรมยังคงความคลาสสิคอยู่เลย มีโรงแรมแล้วก็ต้องมีจุดรวมพลไว้คอยเสวนากันสักหน่อยนั่นก็คือ "สภากาแฟ" ร้านนี้เป็นร้านกาแฟร้านแรกและร้านเดียวในตลาดสามชุกที่เปิดให้บริการตั้งแต่อดีตจนมาถึงยุคปัจจุบันครับ
ตอนเช้าๆคนสูงวัยเขาจะมานั่งจิบชา กาแฟ แล้วสนทนากันอย่างสนุกสนาน แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่ตลาดนี้มาด้วยกันก็เห็นจะเป็นต้นการะเวก หรือ กระดังงา ผมไม่แน่ใจ
แต่ที่แน่ๆผมเกิดมาและไปตลาดนี้ครั้งแรกก็เจอแล้ว และสมัยก่อนผมชอบไปซื้อขนมลูกชุบที่เขามาขายใต้ต้นนี้ด้วย คือแบบว่ามาแล้วต้องซื้อ ปัจจุบันตลาดสามชุกเปิดทุกวันครับส่วนใหญ่ก็เน้นไปทางของกิน ทานเล่นแต่ต้องของบอกว่าของที่นี่อร่อยเกือบทุกอย่างครับ
ร้านเป็ดพะโล้ร้านแรกของตลาดสามชุกครับ
ร้านขายเทปคาสเซตที่อยู่คู่กับตลาดมาเลยครับ สมัยเด็กผมมาอุดหนุนนบ่อยมากๆ แต่ละสิ่งอย่างยิ่งผ่านกาลเวลามันยิ่งทำให้เรานึกและมีคุณค่าทางจิตใจมากขึ้น ก่อนจากลาตลาดสามชุกผมก็มีภาพบรรยากาศบริเวณตลาดสามชุกมาฝากครับ
เห็นคนถ่ายรูปกันจังตรงป้ายตลาดร้อยปีสามชุกเราก็เลยต้องถ่ายบ้าง 55555 ถ่ายเมื่อตอนมาครั้งที่แล้วนะครับภาพนี้
เสร็จจากภาระกิจเที่ยวชม หาของกินที่ตลาดสามชุกแล้ว พี่สาวผมก็มารับเพื่อจะพาไปเที่ยวต่อ และสถานที่ต่อไปของเราก็คือ "บึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ" ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวดังติดอันดับต้นๆของประเทศเลยก็ว่าได้(มโนแป๊บ) บึงฉวากเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีเนื้อทีประมาณ 2,700 ไร่ เป็นที่นิยมในการมาทัศนศึกษาสำหรับเด็กๆ สำหรับตัวผมเองไม่ค่อยได้มีโอกาสไปสักเท่าไหร่นัก นี่ก็ตั้งแต่เขามีสัตว์น้ำทะเลนี่ถือว่าเป็นครั้งแรกของผมเหมือนกันครับ สำหรับการเที่ยวชมครั้งนี้เราเน้นไปทางดูสัตว์น้ำและโลกใต้น้ำ สำหรับอัตราค่าเข้าชมมี ทั้งหมด 2 ส่วนครับ จ่ายค่าผ่านประตูครั้งแรกในอัตราผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาทอันนี้จะสามารถเข้าไปดูสัตว์น้ำจืดและฟาร์มจระเข้ได้ ส่วนค่าผ่านประตูครั้งที่ 2 จะเป็นในส่วนของ Aquarium โลกใต้ท้องทะเลอัตราค่าเข้าชมน่าจะอยู่ที่ 150 บาท(เรื่องราคาตรวจสอบดูอีกครั้งครับเนื่องจากวันที่ผมไปนั้นพี่สาวเป็นคนจัดการให้) ในเมื่อพร้อมกันแล้วก็ลุยกันเลยครับ
เห็นแล้วพลาดไม่ได้เอาสักหน่อยเดี๋ยวเขาว่ามาไม่ถึง ส่วนแรกที่เราจะไปเป็นส่วนของโลกใต้ทะเลครับ ตื่นเต้นๆไม่เคยมาเหมือนกัน สำหรับอาคารนี้เป็นอาคารหลังล่าสุดที่มีการสร้างขึ้น นักท่องเที่ยวหนาพอสมควรครับ
อาคารนี้จะเป็นบันไดเลื่อน เลื่อนไปตามอุโมงค์ที่มีปลาว่ายลายล้อม สวยเพลินตาดีครับ ไม่ต้องเดินทางไปถึงทะเลก็เห็นปลาทะเลสีสันต์สวยงามได้ ไปๆดูปลากัน
อุโมงค์ก็อย่างที่เห็นในภาพครับ อุโมงค์จะพาเราไปจนสุดทางแล้วเราก็เดินนิดหน่อยก็จะเจออุโมงค์ที่เป็นในส่วนของปลาฉลาม อุ้ย!!! น่ากลัว
มีปลาฉลามหลายสิบตัวครับทั้งเล็กทั้งใหญ่ปะปนกันไปแต่เห็นเขี้ยวฉลามแล้วน่ากลัวมากฟันมันเยอะ พร้อมสำหรับขยี้เหยื่อให้แหลกในพริบตา พอๆเปลี่ยนเรื่องๆ ถัดจากปลาฉลามก็เป็นตู้จำลองทะเลทางฝั่งอันดามันครับมาดูกัน
ไม่ต้องไปไกลถึงทะเลอันดามันที่บึงฉวากก็มีนะครับ หลังจากเราท่องโลกใต้ทะเลจนเสร็จเราก็ไปต่อกันที่ฟาร์มจระเข้เลยครับ ผมเองก็เห็นในโซเชี่ยลเขาพูดกันว่าจระเข้ที่บึงฉวากเนี่ยฉลาด สามารถเข้าใจภาษาคนได้ด้วยพอมาถึงผมก็ถึงบางอ้อครับ บอกตรงๆเข้าใจคิดมากครับ ร้อนๆเหนื่อยๆมาพอเจอเข้าก็เรียกรอยยิ้มเราได้เหมือนกันครับ
ในส่วนของบ่อจระเข้นั้นก็จะลานแสดงความสามารถของคนกับจระเข้ด้วย ก็จะแบ่งเป็นรอบๆไปแต่ที่โชคดีคือขณะที่เราเดินดูบ่อจระเข้อยู่นั้นก็ใกล้เวลาที่เขากำลังจะทำการแสดงพอดีเลยครับ
ภาพน้อยครับไม่มีเวลาถ่ายยืนเกร็งลุ้น เสียวมากๆ คนพากษ์การพากษ์ได้สนุกมากๆพี่เขามีมุกตลกสอดแทรกตลอดเวลาเลยครับ แต่ละแอคชั่นของพี่เขาเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้มากพอสมควรโดยเฉพาะผมเสียงดังกว่าใครเพื่อน ยิ่งตอนที่ทำให้จระเข้อ้าปากแล้วให้งับลงเสียงมันดังน่าตกใจมากครับ การแสดงใช้เวลาประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมงครับ หลังเสร็จสิ้นการแสดงผมก็ได้มีโอกาสได้ถ่ายรูปกับ "ไกรทอง" ด้วยนะ
แหม....ยังกับพี่น้องกัน 5555 ต้องขอบคุณพี่เขามากครับที่ช่วยกระตุ้นต่อมอะดีนาลีนในร่างกายให้พุ่งพ่านอีกครั้งก่อนที่จะหมดแรงไม่มีแรงเดินเที่ยวต่อ อ่อๆใครมีน้ำใจก็ให้ทิปพี่เขาได้นะครับเป็นสินน้ำใจ เพราะว่าการแสดงถือว่าเสี่ยงมากมาย เดินต่อกันดีกว่าครับหลังจากดูการแสดงจบเราก็มาเดินมาถึงส่วนสุดท้ายก็คือในส่วนของพันธุ์ปลาน้ำจืดครับ สำหรับอาคารพันธุ์ปลาน้ำจืดนี้เป็นอาคารแรกเลยครับนับตั้งแต่มีการพัฒนาบึงฉวากเป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็มีปลาน้ำจืดมากมายหลายชนิดครับ
ซึ่งปลาปลาบางชนิดเราก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต บ้างก็แค่ได้ยินแต่ชื่อถ้ามาที่นี่รับรองได้เห็นแน่ๆครับ อย่างปลาสวยงามก็มีครับ
มีตั้งแต่ปลาเล็กปลาน้อยจนปลาใหญ่อย่างปลาบึกครับ คือวันนี้เราไปกันนั้นถือว่าเป็นวันที่ดีและพอเหมาะกับเวลาทุกอย่าง เพราะขณะที่กำลังเดินดูปลาอยู่ก็ได้เวลาที่เจ้าหน้าที่(เป็นน้องนักเรียนที่หาร้ายได้พิเศษในช่วงปิดเทอมหรือวันหยุด) กำลังจะให้อาหารปลาพอดี เราก็ไม่ลืมที่จะเก็บภาพมาฝาก
ดูเอาครับทั้งปลาเล็กปลาใหญ่รุมน้องเขาใหญ่เลยครับและก็เสร็จในการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ แต่ยังไม่หมดนะครับเพราะบริเวณรอบบึงฉวากนั้นยังมีในส่วนของสวนสัตว์ด้วยนะครับมีสัตว์นานาชนิดมากมายหลายแบบไม่ว่าจะเป็น "สิงโต , เสือ , ลิง , อุรังอุตัง , ยีราฟ , นกนานาชนิด , เก้ง , กวาง ,ฯลฯ เยอะจริงๆครับนับไม่หมด ซึ่งถ้าเที่ยวแต่ละจุดต้องเช่ารถเที่ยวครับแต่เราไม่ได้มีเวลาเยอะเลยแค่ขับรถผ่านดูครับ และอีกส่วนหนึ่งที่น่าสนใจคือบ้านพักสไตย์รีสอร์ทที่บึงฉวากก็มีครับเป็นบ้านต้นไม้
เดี๋ยวสักวันจะต้องหาเวลามาพักให้ได้เท่าที่ผมสืบทราบมาสนนราคาอยู่ที่คืนละ 1,600 บาท/คืนครับราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง และนี่ก็คือภารกิจวันแรกที่เราได้มาเที่ยวและได้พบเจอกับสิ่งต่างในสถานที่ท่องเที่ยว เดินทางกลับบ้านกันดีกว่าครับคิดถึงแม่แล้ว
""วันที่ 17 พฤษภาคม 58 ได้เวลาเริ่มการเดินทางของวันใหม่เตรียมพร้อมไปเจอกับสิ่งใหม่ๆที่แต่วันไม่ซ้ำกัน เพราะชีวิตคนเราต้องการสิ่งแปลกใหม่ใส่ตัวอยู่เสมอ ก็เหมือนกับผมที่ต้องการหาสิ่งใหม่ที่ไม่เคยผ่านพบเข้าตัวเสมอเพื่อเก็บไว้ในความทรงใจ ความประทับใจ และประสบการณ์ วันนี้เราต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯแล้ว กลับเร็วเพราะจะพาแม่ไปกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตากันสักครั้งแต่พ่อไม่มา ดังนั้นผมจึงถือโอกาสแวะเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวในตัวเมืองไปด้วยเลยในตัวเมืองจังหวัดสุพรรณบุรีนั้นก็มีที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลักๆก็มีอยู่ 3 ที่ครับก็จะมี
1.หอดูดาว
2.ศาลหลักเมือง (มังกรใหญ่)
3.วัดป่าเลไลยก์
และอีกมากมายมายครับทั้ง เรือนขุนช้าง , เรือนขุนแผน , วัดแค(ต้นมะขามยักษ์) แต่ที่ผมยก 3 ที่นั้นมาเพราะเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงครับ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเราก็ไม่ได้มีเวลามากจึงเลือกที่จะไปเที่ยวกันที่วัดป่าเลไลยก์เพื่อไปนมัสการ "หลวงพ่อโต" ซึ่งเป็นประทานองค์ใหญ่ และนี่ถือเป็นครั้งแรกของผมเลยก็ว่าได้ เพราะมากี่ครั้งก็ไม่เคยได้เข้ามาในโบสถ์เลยแต่ครั้งนี้สมหวังสักทีได้เห็นได้สักการะสักที
ซึ้งครั้งแรกที่ผมได้เห็นก็เล่นเอาตาค้างไปเลยทีเดียว เกร็ดเล็กเกร็ดสำหรับประวัติวัดป่าเลไลยก์ครับ อันนี้สาระล้วนๆ
"ในพงศาวดารเหนือกล่าวว่า ...พระเจ้ากาเตทรงให้มอญน้อย มาบูรณะวัดป่าเลไลยก์ ภายหลังปี พ.ศ. 1724 เล็กน้อย หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ ศิลปะสมัยอู่ทอง สุพรรณภูมิ (คือประทับนั่งห้อยพระบาท) มีนักปราชญ์หลายท่านว่า เดิมคงเป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา สร้างไว้กลางแจ้งอย่างพระพนัญเชิงสมัยแรกต่อมาได้มีการบูรณะ ซ่อมแซมใหม่ และทำเป็นปางป่าเลไลยก์ ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ภายในองค์พระพุทธรูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ 36 องค์ ที่ได้มาจากพระมหาเถรไลยลาย"
และนี้ก็เป็นประวัติโดยย่อของวัดป่าเลไลยก์แห่งนี้นี่เอง อ่อๆเกือบลืมบอกไปว่าในวัดป่าเลไลยก์แห่งนี้เป็นที่ตั้งของ "เรือนขุนช้าง" ด้วยนะครับ
""และนี่ก็เป็นทริปสั้นๆ 2 วัน 1 คืนในการเที่ยวบ้านเกิดตัวเองอย่างจริงจังครั้งหนึ่งทำให้เราได้พบเจอสิ่งใหม่เพราะคนในพื้นที่ส่วนใหญ่มักจะคิดว่าบ้านเกิดเราเที่ยวเมื่อไหร่ก็ได้ซึ่งบางครั้งมันอาจจะทำให้เราไม่ได้นึกถึงว่าบ้านเราก็มีดีไม่แพ้ที่ไหนเหมือนเพียงแค่ต่างกันตามลักษณะภูมิประเทศ วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต เพราะก็หล่อหลอมเราเป็นชาติเดียวกัน
""ข้อเสนอแนะในการเที่ยวตลาดร้อยปีสามชุก-บึงฉวาก เพื่อเป็นแนวทางครับ(สำหรับคนไม่มีรถ)
-ค่ารถตู้จากอนุสวรีย์ 140 บาท/คน
-ถ้าเป็นคนชอบกินแนะนำให้เอาเงินมาเยอะๆเพราะตลาดร้อยปีมีของกินเยอะมาก
-ถ้าจะไปบึงฉวากต่อให้ข้ามสะพานตรงตลาดร้อยปีไปฝั่งตลาดหลักสายเอเชีย และนั่งต่อไปลงที่ตลาดท่าช้าง
-ถ้าคุณถึงที่ตลาดท่าช้างให้คุณเช่าวินมอร์ไซค์ไปส่งที่บึงฉวากค่ารถประมาณ 150 บาทถ้าแพงกว่าก็หัดต่อบ้าง
-ควรขอเบอร์วินมอร์ไซค์ไว้ด้วยเผื่ออยากให้เขามารับตอนเที่ยวเสร็จ เพราะไม่มีรถประจำทางเข้าถึง
-ถ้าไม่ให้วินมอร์ไซค์มารับก็หาโบกรถเขาออกมาผมเชื่อว่าต้องมีคนจอด
-ขึ้นรถจากตลาดท่าช้างกลับกรุงเทพฯ ค่ารถประมาณ 160 บาท
-คนสุพรรณฯ พูดเหน่อถือว่าเป็นเอกลักษณ์และมีความจริงใจสูง
-เที่ยวกลับมาแล้วอย่าลืมมาเล่าให้อื่นฟังบ้างเขาจะได้รู้สุพรรณฯนั้นไม่ธรรมดา
-จงอย่าอิจฉาถนนในจังหวัดผม
**************************************************
"ภาพส่งท้าย"
ที่ผมเขียนรีวิวนี่ขึ้นมาเพื่ออยากให้คนไทยได้รู้ว่าเมืองไทยมีที่สวยๆให้เราเที่ยวอีกเยอะแยะมากมาย ช่วยกันเที่ยว ช่วยกันรักษา มิได้มีความตั้งใจที่จะโอ้อวด และผมหวังว่ารีวิวนี้ของเราจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่รักการเดินทางเหมือนเรา "เที่ยวทั่วไทยไปได้ทุกเดือน"
"สวัสดี"
*******😍😗😜************😆😘☺️*******