วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2560

บ้านป่าบงเปียง VS บ้านแม่กำปอง

บ้านป่าบงเปียง VS บ้านแม่กำปอง

"สวัสดีครับ...ขอต้อนรับสู่การเดินทางของเราอีกครั้งครับ หลังจากที่เราไม่ได้แบกเป้ลุย แว๊นมอร์ไซค์ซะนาน ทริปนี้เราจึงจัดตามความต้องการของเราซะเลย อิอิ ทริปนี้เราจึงวางแผนเดินทางขึ้นเหนือกันอีกครั้ง และทริปนี้ที่เราไปก็ไม่ใช่ที่ไหนนั่นก็คือ "จังหวัดเชียงใหม่" หลายคนอาจจะไปบ่อยซึ่งเราเองก็ไปบ่อยเช่นกัน แต่สำหรับเราแล้วเรามีคติประจำของเราคือ "ทุกๆที่ที่เราไปถึงแม้ว่าเราจะเคยไปแล้วมักมีอะไรใหม่เสมอสำหรับเรา" ดังนั้นเราจึงไม่ลังเลใจที่จะออกเดินทางไปกันที่นี่อีกสักครั้งเพื่อประสบการณ์ในการเดินทางและสัมผัสบรรยากาศอันบริสุทธิ์ของธรรมชาติ

"วันที่ 12 กันยายน 2560" ก่อนออกเดินทาง 1 วันผมใช้เวลาว่างหลังจากเลิกงานในช่วงกลางคืน เขียนโปรแกรมการเดินทางของเราไว้เพื่อเป็นไกด์ไลน์ซึ่งผมก็เขียนแบบนี้แทบจะทุกทริปแหละครับ

และการทำแบบนี้มันมีส่วนช่วยให้การจัดสันปันส่วนเวลาในการการเดินทางลงตัวมากขึ้นครับ

"วันที่ 13 กันยายน 2560" วันนี้ต้องตื่นเช้าเพื่อตรวจสอบสิ่งของในกระเป๋าว่าขาดเหลืออะไรหรือเปล่า ลืมอะไรไหม ? หลังจากจัดการสัมภาระในกระเป๋าเรียบร้อยแล้วยังเหลืออีก 1 ภาระกิจที่ผมต้องทำก่อนออกเดินทางนั่นก็คือ จองที่พักในสถานที่ที่เราจะเดินทางไป ซึ่งผมใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงกว่าจะได้ที่พักของทั้ง 2 ที่ที่เราจะไป จริงๆแล้วเราก็จะจองล่วงหน้ากันแทบจะทุกครั้งแต่ด้วยงานที่ยุ่งจนไม่มีเวลาทำอะไรเลยมันทำให้เราเกือบจะยกเลิกการเดินทางครังนี้เลยด้วยซ้ำ

"เวลา 11:00 น." เป็นเวลาที่ผมต้องเริ่มทำงานก่อนออกเดินทาง โดยปรกติแล้วผมเข้างาน 13:00 - 22:00 น. แต่เนื่องจากเราจองตั๋วรถทัวร์ในเวลา 22:05 น. ทำให้ผมต้องมาทำงานเร็วกว่าทุกๆวันเพื่อจะได้ไปขึ้นรถทัน ทำงานไปนั่งภาวนาไปว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาเลิกงานวะ

"เวลา 21:15 น." เราเดินทางมาถึงสถานีขนส่งหมอชิต พอมาถึงก็ไม่รอช้ารีบหาข้าวกินเพื่อเติมพลังกันก่อนเลย จากนั้นค่อยเดินไปที่ชานชาลาที่จอดรถกันต่อ

"เวลา 22:05 น." ได้เวลาออกเดินทางมุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่กันแล้ว เราขอนอนพักผ่อนกันบนรถก่อนนะครับ เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางกันทั้งวัน ฝันดีครับทุกคนเจอกันที่เชียงใหม่ครับ

"วันที่ 14 กันยายน 2560 เวลา 05:40 น." เผลอหลับไปแป๊บเดียว ตื่นมาอีกทีตอนนี้ถึงจังหวัดลำปางกันแล้วครับ

พอเข้าเขตจังหวัดทางภาคเหนือก็เริ่มมีผู้โดยสารบางรายขอลงระหว่างทางด้วย จากนี้เราต้องใช้เวลาเดินทางอีกราวๆ 2 ชั่วโมงเห็นจะได้กว่าจะถึงสถานีขนส่งเชียงใหม่(อาเขต) ขอตัวนอนต่ออีกสักนิดครับ

"เวลา 07:45 น." รถทัวร์โดยสารจอดเทียบท่าชานชาลาสถานีขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ เราตรวจสอบสิ่งของและความเรียบร้อยก่อนลงจากรถ พอลงจากรถเราก็จัดการทำภารกิจตอนเช้ากันก่อนเลยครับ ล้างหน้า แปรงฟัน

"เวลา 08:15 น." เราเดินออกมาจากสถานีขนส่งจังหวัดเชียงใหม่เพื่อเดินหาร้านเช่ารถมอร์เตอร์ไซค์ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการเดินทางครั้งนี้

เราแวะดูรถร้านข้างๆ สถานีขนส่งเลยครับง่ายดี ขี้เกียจเดินหา มีรถหลายรุ่นหลายยี่ห้อให้เราเลือกใช้ตามความเหมาะสม ตามสภาพความยากง่ายของการเดินทางครับ ถ้าไม่มั่นใจในการเลือกรถสามารถปรึกษาเจ้าของร้านได้ครับ ส่วนราคาเช่ารถที่นี่ก็เริ่มตั้งแต่ 250-550 บาท/วัน และมีค่ามัดจำรถด้วยนะครับ

ทริปนี้เราเลือกใช้รถ Honda Click 125i กันครับเนื่องจากสัมภาระเราไม่ได้เยอะ หนทางไม่ค่อยไม่ค่อยสูงชันสักเท่าไหร่ เมื่อตกลงทุกอย่างได้แล้วก็ทำสัญญา จ่ายค่ารถ วางเงินมัดจำ

และคว้ารถออกไปซิ่งได้ ตามเรามากันเลยครับ

"เวลา 08:25 น." เราเริ่มออกเดินทางมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางแรกของเราในทริปนี้นั่นก็คือ "นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง" ซึ่งหมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ที่อำเภอแม่แจ่ม ตัวหมู่บ้านตั้งอยู่ด้านหลังของ "อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์" ดังนั้นเราจึงมุ่งหน้าไปกันที่ดอยอินทนนท์กันก่อนพอถึงที่นั่นแล้วค่อยถามทางไปยังหมู่บ้านกันอีกทีครับ เราขับรถออกจากตัวเมืองใช้เส้นทาง อำเภอหางดง-จอมทอง ครับ เราลองคำนวณระยะทางโดยใช้ Google Map ระยะทางจากตัวเมืองถึงดอยอินทนน์ระยะทางประมาณ 120-130 กิโลเมตรเห็นจะได้ครับ สำหรับเราแล้วแค่นี้ถือว่าเด็กๆ ขอแว๊นก่อนนะเดี๋ยวจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ บรึ้นๆๆ

"เวลา 09:46 น." เราเข้าเขตของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์กันแล้วครับ

ใกล้เข้าไปอีกนิดแล้วครับแต่ไม่รู้ว่าระยะทางจะอีกไกลแค่ไหนกว่าเราจะถึงจุดหมายของเรา แต่ก็ช่างเถอะอีกเดี๋ยวก็คงถึง(ปลอบใจตัวเอง) ขับไปขับมาชักเริ่มหิวขึ้นมาแล้วซิ ก็อย่างว่าแหละครับมื้อสุดท้ายที่เรากินก็ก่อนขึ้นรถทัวร์เมื่อตอน 3 ทุ่มของเมื่อวานดังนั้นมันไม่แปลกครับที่เราจะหิว ระหว่างขี่รถไปเรื่อยๆเราจึงมองหาร้านอาหารข้างทางไปด้วย ถ้าเจอร้านไหนถูกใจก็แวะเลย และแล้วเราก็มาเจอร้านอาหารจนได้ คือก่อนจะเจอร้านนี้ก็ผ่านมาหลายร้านแล้วหละแต่จอดไม่ทัน

จอดรถเสร็จก็เดินตรงไปสั่งอาหารกันก่อนเลยครับ สำหรับเมนูของเราวันนี้ก็ง่ายๆครับ ตัวผมเองสั่ง ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กหมูน้ำใส ส่วนมาดามผมก็จัดการสั่ง กระเพราหมูสับไข่ดาว ระหว่างที่เราใช้บริการที่ร้านอาหารร้านนี้ก็ขอคุณป้าแม่ค้าชาร์จแบตเตอร์รี่โทรศัพท์มือถือกันด้วยเลยครับ

"เวลา 10:32 น." เมื่อเติมพลังทั้งคนและโทรศัพท์มือถือเสร็จเราก็เริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง เราขี่รถมุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ครับ เนื่องจากข้อมูลที่เราได้รับมาเราต้องใช้เส้นทางของอุทยานฯ และต้องผ่านจุดทางเข้าอุทยานฯ 2 จุดด้วยกันครับ เราขับรถมาเรื่อยๆจนมาเจอทางแยก ทางซ้ายไปน้ำตกแม่กลาง ทางขวามุ่งหน้าสู่ดอยอินทนนท์เราเลือกแวะไปทางซ้ายก่อนเพื่อแวะชมน้ำตกแม่กลาง

ไหนๆมาแล้วต้องเข้าไปดูกันสักหน่อย อ่อๆ ค่าเข้าชมน้ำตกแม่กลาง คนละ 50 บาท ถือว่าไม่แพงครับถ้าเทียบกับความงามของธรรมชาติที่เราได้สัมผัส มาลุ้นกันครับว่าจะคุ้มไหม

และแล้วสิ่งที่ผมเห็น สิ่งที่ผมได้สัมผัส มันช่างคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปจริงๆครับ

ช่วงที่เราไปนั้นเป็นวันธรรมดาเลยไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากันสักเท่าไหร่นัก ประกอบกับเป็นช่วงหน้าฝนด้วย เห็นเจ้าหน้าที่บอกว่าช่วงหน้าหนาวคนเยอะมากครับ เราใช้เวลาอยู่ที่นี่กันสักชั่วครู่หนึ่งและเราก็ออกเดินทางกันต่อครับ

มาดามผม นางอยากลองขี่ดูบ้าง เอาๆไม่ว่ากัน บอกตรงๆเลยว่าถ้าขับแบบนี้ วันนี้คงไม่ถึง

"เวลา 11:25 น." เราออกเดินทางกันต่อครับ จากน้ำตกแม่กลางที่เราแวะจนถึงจุดทางเข้าอุทยานฯจุดที่ 1 ระยะทางประมาณ 35-40 กิโลเมตร เราใช้เวลาเดินทางมาถึงที่นี่ประมาณ 20-25 นาทีครับ เจ้าหน้าที่โบกให้เราจอดรถชิดทางด้านซ้ายเพื่อลงมาชำระค่าเข้าอุทยานฯกันก่อนครับ คนละ 50 บาทและค่ามอร์เตอร์ไซค์อีก 20 บาท รวมเป็นเงิน 120 บาท จากนี้ก็ขี่ยาวไปเลยครับ หลังจากที่เราขี่รถมาเป็นระยะเวลายาวไกลพอสมควร เราจึงสังเกตเห็นระดับน้ำมันของรถเราที่เช่ามานั้นเริ่มลดลงและเราก็ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเจอปั้มน้ำมันหรือเปล่า เราจึงพยายามมองหาร้านค้าและจุดพักรถระหว่างทางเพื่อเติมน้ำมันให้เต็มถังเสียก่อน จนในที่สุดเราก็มาเจอร้านค้าของชาวบ้านที่ตั้งขายของอยู่ริมทางและที่โชคดีที่สุดคือมีตู้น้ำมันหยอดเหรียญด้วย สบายเราหละทีนี้ ระหว่างที่ผมเติมน้ำมันอยู่นั้นมาดามผมนางก็ไปนั่งรอที่ร้านกาแฟ สั่งกาแฟดื่มแก้ง่วงสักหน่อย

ระหว่างที่นั่งรอผมเติมน้ำมันอยู่และจิบกาแฟไปด้วย น้องคนขายกาแฟแนะนำให้เราแวะเที่ยวที่ "น้ำตกวชิรธาร" ซึ่งอยู่ติดถนนหลักที่เราใช้เดินทางด้วย

"เวลา 11:54 น." เราเดินทางมาถึง น้ำตกวชิรธาร จากถนนหลักต้องขี่ลงมาอีกประมาณ 800 เมตร เราก็จะเจอกับน้ำตกแห่งนี้

สำหรับเราแล้วถือว่าเป็นน้ำตกที่สวยแห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้ครับ

เราเดินถ่ายรูปจนหนำใจแล้ว เราก็เตรียมตัวเดินทางกันต่อครับ แต่ก่อนออกจากตัวน้ำตกไปเราได้แวะซื้อไก่ย่างเพื่อเป็นเสบียงไว้กินเย็นนี้เผื่อกับข้าวที่เขาเตรียมไว้ให้เราไม่คุ้นปาก ขณะที่เรากำลังจะออกเดินทางกันต่อนั้นเราสังเกตเห็นเมฆบนท้องฟ้ามืดคลึ้มเหมือนว่าฝนกำลังจะตกเราจึงรีบออกเดินทางกันแต่พอขี่มาได้ไม่นานฝนก็เริ่มลงเม็ด และหนักขึ้นเรื่อยๆเราจึงนึกถึงความปลอดภัยในการเดินทางของเราเป็นหลักจึงหาที่จอดรถเพื่อหลบฝนและโชคที่เข้าข้างเราอีกครั้งเมื่อเราเห็นศาลาริมทางอยู่ข้างหน้าเราจึงจอดรถกันตรงนี้

ชาวบ้านระแวกนั้นก็หลบฝนอยู่กับเราด้วย ระหว่างนั้นเราจึงทำการเปลี่ยนรองเท้า นำเสื้อกันฝนออกมาใส่และคลุมกระเป๋าเสื้อผ้าเราเพื่อไม่ให้เปียก เรานั่งหลบฝนกันอยู่ที่ศาลาริมทางนี้อยู่ประมาณ 10-15 นาที พอฝนเริ่มซาเราก็ออกเดินทางกันอีกครั้งครับ ทีนี้ไม่ต้องกลัวเปียกแล้ว

เพราะเรามีเสื้อกันฝน เตรียมมาคราวนี้ได้ใช้แล้ว ต่อจากนี้ไปเราต้องขี่รถด้วยความระมัดระวังกันมากขึ้นกว่าเดิมเพราะถนนลื่น

"เวลา 12:45 น." เราเดินทางมาถึงจุดผ่านทางเข้าดอยอินทนนท์จุดที่ 2 กันแล้ว เจ้าหน้าที่เรียกตรวจบัตรผ่านอุทยานฯ อีกครั้ง พอผ่านจุดตรวจจุดที่ 2 มาได้เราก็จะเจอทางแยกให้เลี้ยวไปทางแยกซ้ายมุ่งหน้าสู่อำเภอแม่แจ่ม แต่ก่อนที่จะเลี้ยวซ้ายผมเห็นป้ายตรงไปเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน แต่ติดไว้ก่อนพรุ่งนี้ตอนกลับค่อยแวะเข้าไป เราเดินทางกันต่อครับ จากป้ายไปอำเภอแม่แจ่มอีก 22 กิโลเมตร สองข้างทางเป็นป่าไม่ค่อยมีรถสัญจรสักเท่าไหร่นานๆจะเจอสักคัน เราขี่มาเรื่อยๆจนเรามาเจอทางไป "บ้านป่าบงเปียง" (ตอนแรกขี่เลย)

จะถึงแล้วอีกแค่ 4 กิโลเมตรเอง เราสองคนดีใจหนักมาก เนื่องจากวันนี้เราเดินทางเหนื่อยมากันทั้งวันแล้ว เราขี่ตรงเข้าไปจนถึงบ้านพักอุทยานฯ บริเวณน้ำตกแม่ปานและเจอทางแยกเราจึงถามทางเจ้าหน้าที่และโทรสอบถามเจ้าของบ้านพักที่เราจองไว้ด้วยและทางที่เราต้องใช้เดินทางก็เป็นแบบนี้

คิดในใจฝนไม่ตกมาตั้งหลายวันละคงไม่ลื่นเท่าไหร่มั้ง(ฝนหมดตั้งแต่ทางแยกเข้าบ้านป่าบงเปียง) ผมลงไปสำรวจดูที่พื้นดินดูโดยการใช้เท้าย่ำลงไป พลางคิดในใจ "กูต้องไปทางนี้จริงๆเหรอ" ทำไงได้อีกนิดเดียวก็จะถึงละมัวรออะไรอยู่ เอ้า..ลุย

สำหรับผมหนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว แต่มาดามผมเจอแบบนี้เข้าไปไม่ไหว นางขอลงเดินตลอดทางเลยครับ ฮ่าๆ

[video data-wpid="347" src="https://samakuaroon.files.wordpress.com/2017/09/line_movie_1505527609258.mp4" class="size-full" data-temp-aztec-id="e14f416d-c09f-45d6-be1a-342bc6ef3bd4"]

"หนทางที่เดินทางแม้มันแสนลำบากใจเราก็อยากจะฝ่าลุยไป" ท่อนหนึ่งของเพลงครับเอามาเป็นกำลังในการเดินทางของเรา ถนนทางเข้าบ้านป่าบงเปียงจะเป็นแบบนี้แหละครับ โคลน ขรุขระ ซึ่งถ้ามาช่วงที่ฝนตกบ่อยๆต้องจ้างรถขับเคลื่อนสี่ล้อขึ้นมาครับ 4×4 Wild Drive แต่ช่วงที่เรามากันนี้ถือว่ายังพอลุยกันได้อยู่

“บ้านป่าบงเปียง” เป็นหมู่บ้านของชาวเขาปากากะญอ ชาวบ้านที่นี่ได้ใช้พื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่ทำกินกันมาหลายรุ่น โดยปลูกทั้งข้าว ข้าวโพด และพืชผักต่าง ๆ เอาไว้ประทังชีวิตในครัวเรือน

ในช่วง เดือนกรกฎาคม จะเป็นช่วงดำนา หากไปในยามแสงอาทิตย์ตกกระทบกับพื้นนา คุณจะได้ภาพที่สวยงามมาก ถัดมาในช่วงเดือนสิงหาคม คือช่วงนาเขียว ใครอยากไปสัมผัสความเขียวขจีของนาข้าว ไม่มีผิดหวัง และสุดท้ายคือเดือนกันยายน จะเป็นช่วงนาเหลืองก่อนจะเก็บเกี่ยว เป็นอีกโมเมนต์นึงที่น่าประทับใจ ด้วยนาสีเหลืองทองอร่าม คงจะฟินน่าดู เรียกได้ว่า 3 เดือนข้างต้นนี้ สวยไม่แพ้กัน แล้วแต่ว่าคุณละเลือกแบบไหน ?

"เวลา 13:33 น." และแล้วเราก็มาถึงจุดหมายปลายทางในทริปแรกของเราจนได้เรียกว่าหนักพอสมควรครับ "นาขั้นบันไดบ้านป่าบงเปียง" ในเมื่อเรามาถึงที่นี่กันแล้วเราจึงทำการโทรหาเจ้าของบ้านที่เราโทรจองกันไว้

อะ อะ เราไม่ได้พักกันที่นี่ครับ เนื่องจากที่นี่เต็มครับ แต่เราได้รับการแนะนำจาก "พี่ทองดี" ซึ่งบ้านพี่ทองดีเขาก็เต็มแกเลยแนะนำให้มาพักที่นี่ครับ เจ้าของบ้านที่ผมพักชื่อ "คุณตู่" เราขับรถเลาะมาตามทางเรื่อยจนมาเจอกับคุณตู่ ทักทายกันตามมารยาทครับ จากนั้นคุณตู่จึงพาเรามาที่บ้านพักครับ

และนี่ก็คือบ้านพักของเราที่เราจะนอนกันคืนนี้ บอกตรงๆครับ บรรยากาศโคตรน่านอน น่าพักผ่อนมาก ใครสนใจไปพักที่นี่ติดต่อคุณตู่ได้ครับตามเบอร์โทรนี้เลยครับ 096-962-2071(คุณตู่) ราคาคนละ 500 บาทรวมอาหารพื้นบ้าน 2 มื้อ

ต้องบอกก่อนนะครับว่าที่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา น้ำที่ทำประปาต่อมาจากน้ำตกบนภูเขา สัญญาณโทรศัพท์มีเป็นบางช่วง แต่ก็ช่างเถอะครับเราไม่ได้เจอแบบนี้ทุกวันซะเมื่อไหร่ละ จะเครียดกันไปทำไมและในเมื่อไหนๆก็บุกป่า ฝ่าดง มาจนถึงที่นี่แล้วก็ขอเก็บภาพความประทับใจกับเจ้าของบ้านหน่อย

คุณตู่ได้อธิบายสิ่งต่างๆที่อยู่ภายในบ้าน ข้าวของเครื่องใช้ว่าอยู่ตรงไหน จากนั้นก็ขอตัวกลับไปทำงานอย่างอื่นก่อนและจะนำอาหารเย็นให้ส่งให้เราตอน 5 โมงเย็น เราจึงใช้เวลาว่างที่มีอยู่พักผ่อน เดินเล่นบริเวณรอบๆบ้านพัก ถ่ายรูปเล่น

หลังจากเดินถ่ายรูปจนเหนื่อยแล้วผมก็ไม่ไหวแล้วต้องขอตัวไปนอนพักเอาแรงก่อนนะครับ

เจอกันอีกทีตอนอาหารเย็นมาส่งนะครับ

"เวลา 17:03 น." คุณตู่นำอาหารเย็นมาส่งให้เราทั้งสองคน

หลังนำอาหารเย็นมาให้แล้วคุณตู่ขอตัวกลับบ้านแล้วจะมาเจอเราอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ตอนนำอาหารเช้ามาส่งในช่วงเวลา 7 โมงเช้าครับ

"เวลา 18:00 น." เป็นเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าส่งหน้าที่ต่อใหกับพระจันทร์

หลังจากนั่งดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้วเราสองคนต่างแยกย้ายกันอาบน้ำ ก่อนที่มันจะมืดและอากาศเย็นมากไปกว่านี้

"เวลา 18:30 น." หลังจากอาบน้ำกันเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะจัดการกับมื้อเย็นของเราเสียที

กินเท่าที่มี มีเท่าที่กิน เป็นอาหารมื้อเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความสุข และอร่อยกว่าอาหารแพงๆตามเมืองกรุงเสียอีก

หลังจากเราสองคนกินข้าวเย็นกันเสร็จ ก็นั่งพักผ่อน เล่นมือถือ ดูข่าว รวมถึงวางแผนการเดินทางในวันต่อไปด้วย

"เวลา 22:05 น." เนื่องที่นี่ไม่มีไฟฟ้าให้ได้ใช้เราจึงต้องพึ่งความสว่างจาก ตะเกียง ไฟฉาย และเทียน และด้วยความสว่างที่มีน้อยกว่าในเมือง ประกอบกับความเงียบปราศจากเสียงรถยนต์จะมีก็แต่เสียงน้ำไหลจากนาขั้นบันไดและเสียงกบ เขียดที่ร้องอยู่ในทุ่งนาทำให้เราทั้งคู่ง่วง

ขอตัวไปนอนก่อนนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นเช้าเพื่อจะไปถ่ายรูปนาขั้นบันไดไปฝากเพื่อนๆทุกคนนะครับ Good Night

"วันที่ 15 กันยายน 2560 เวลา 06:20 น." เสียงนาฬิกาปลุกดังส่งเสียงเตือนนั่นหมายความว่าเป็นเวลาที่เราต้องตื่นนอนกันแล้ว แต่จริงๆแล้วผมตื่นตั้งแต่ตี 5 ครึ่งแล้วครับแต่ด้วยความเย็นของอากาศทำให้ต้องกลับไปนอนและซุกตัวในผ้าห่มอีกครั้ง สิ่งแรกที่เราตื่นมาเจอก็คือ

ทะเลหมอกที่อยู่เบื้องหน้าเรานี่เองครับ เพราะปกติแล้วในแต่ละครั้งที่จะได้เห็นเราต้องไปยอดเขาสูง อากาศต้องหนาว แต่ครั้งนี้แค่ตื่นมาก็ได้เจอเลยมันช่างเป็นบรรยากาศที่สุดยอดจริงๆ

จากนั้นเราต่างพากันไปล้างหน้า แปรงฟัน ซึ่งเป็นกิจกรรมหลักของทุกๆวัน และเมื่อล้างหน้า ล้างตา กันจนสดชื่นแล้วเราก็คว้ากล้องเพื่อไปเก็บภาพนาขั้นบันไดตามที่สัญญาไว้เมื่อคืน

สีเขียวจากต้นข้าวทำให้เรารู้สึกสบายตาและรู้สึกผ่อนคลายมาก

นี่แหละครับนาขั้นบันไดที่เราสัญญาไว้ที่จะมาเก็บภาพให้ดูในยามเช้า ระหว่างที่เรากำลังเพลิดเพลินกับการเก็บภาพนาขั้นบันไดอยู่นั้น คุณตู่และน้องชาย(เดาเอา) ก็กำลังเดินนำเอาอาหารเช้ามาส่งให้เราพอดีครับ

พอนำอาหารมาให้เสร็จก็ขอตัวไปทำไร่เหมือนเคย เราก็เลยถือโอกาสบอกลากันไปด้วยเลยครับ

"เวลา 07:49 น." หลังจากถ่ายรูปกันจนพอแล้ว เราสองคนก็แยกย้ายกันทำภาระกิจหน้าที่ของแตละคน ตัวผมขอแยกไปอาบน้ำและเตรียมเก็บสัมภาระเพื่อเดินทางกันต่อ ส่วนมาดามผมขอเติมพลังด้วยอาหารที่คุณตู่เตรียมมาให้เราก่อน

กับข้าวก็อย่างที่เห็นตามภาพเลยครับ ผมก็ปล่อยให้นางกินไปจนอิ่มแหละครับส่วนผมก็หยิบกล้องขึ้นมาดูรูป

พลางถ่ายรูปตามท้องนาไปเรื่อยๆครับ ระหว่างนั้นมีชาวบ้านเดินมาหาเราสองคนพร้อมกับทักทายเราอย่างเป็นมิตร และก็ยื่นข้าวโพดสาลีต้มให้เราทดลองกินดู ซึ่งผมขอบอกตรงๆเลยนะครับว่า หวาน มัน อร่อย ไร้สารพิษ

เอาหน้าตาเป็นประกันครับว่าอร่อยจริงๆ อันนี้ต้องขอขอบใจชาวบ้านอย่างสุดซึ้งครับ

"เวลา 09:03 น." หลังจากกินข้าวเช้าแล้ว ส่วนผมก็เก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว มันก็ถึงเวลาที่เราสองคนจะต้องบอกลาสถานที่แห่งนี้แล้ว "บ้านป่าบงเบียง" เพื่อไปยังจุดหมายต่อไปของเราในการเดินทางครั้งนี้

จากนี้ก็ต้องไปเจอหนทางที่ลำบาก ยากเย็นกันต่ออีก แต่ที่แน่ๆทางน่าจะแฉะกว่าตอนที่เราเดินทางมาที่เนื่องจากเมื่อคืนมีสายฝนโปรยปรายลงมาเล็กน้อยครับ ไปละขับรถออกจากหมู่บ้านก่อน

ระหว่างทางที่เราขับรถกลับนั้นเราก็เห็นมีนักท่องเที่ยวเริ่มทยอยกันเข้าพักกันบ้างแล้ว

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมนำรถมาฝากจอดไว้ที่ทำการอุทยานฯ บริเวณบ้านพักน้ำตกแม่ปานและจ้างรถของชาวบ้านขึ้นไปยังบ้านป่าบงเปียง เราสองคนใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงถนนหลักซึ่งเป็นทางเข้าออกของหมู่บ้านครับ

"เวลา 10:03 น." และแล้วเราก็เดินทางมาถึงทางขึ้นดอยอินทนนท์

เราตัดสินใจแวะขึ้นไปเที่ยวที่ดอยอินทนนท์กันก่อนเพราะไหนๆก็ผ่านมาละและก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสกลับมาอีกเมื่อไหร่ แต่ก่อนที่เราจะขึ้นไปนั้นเจ้าหน้าที่แจ้งเราว่า "เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน" ยังไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเนื่องจากปิดให้ธรรมชาติได้ฟื้นตัวและจะเปิดอีกครั้งในวันที่ 1พฤศจิกายน 2560 นั่นมันไม่ใช่ปัญหาสำหรับเราที่จะขึ้นไปบนยอดดอยอินทนนท์ จากจุดที่เราถ่ายรูปกันเราต้องขับรถขึ้นไปอีก 9 กิโลเมตร ไปครับเจอกันบนยอดดอยครับ

ไต่ระดับขึ้นมาเรื่อยๆแล้วครับ และนี่ก็คือการเดินทางขึ้นดอยที่สูงที่สุดในชีวิตของผมเลยครับ

ยิ่งสูงอากาศก็ยิ่งเย็น ขนาดผมใส่ถุงมือขับรถความหนาวเย็นยังทะลุเข้าถึงได้

"เวลา 11:00 น." เราเดินทางมาถึงจุดสูงสุดของดอยอินทนนท์จนได้ สายลม สายหมอกพัดกระจายไปทั่วดอย

พอเราถึงยอดดอยปุ๊บ ฝนก็เริ่มลงเม็ดแต่ไม่มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับเลย จากนั้นเราเดินไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกากันต่อ

ก่อนลงไปดูนั้นเราไม่ได้คาดหวังที่จะเจออะไรมากมายไปกว่าต้นไม้ที่เติบโตบนที่สูงๆแบบนี้จะมีลักษณะแบบไหนกันแน่ แต่สิ่งที่เราได้พบเห็นมันช่างเป็นอะไรที่เหนือคำบรรยายเหลือเกิน

ด้วยสภาพภูมิประเทศที่สูงและสภาพภูมิอากาศที่ชื้นทำให้พืชสีเขียวจำพวกตะใคร่ขึ้นปกคลุมเต็มไปหมด

เราใช้เวลาหมดไปกับเส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกาทั้ง 10 จุดเกือบ 1 ชั่วโมงเต็ม

จากนั้นก็เราก็เตรียมตัวที่จะเดินกันต่อ แต่ขณะที่เรากำลังจะขี่รถออกจากยอดดอยอินทนนท์ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักทำให้เราต้องวิ่งไปหลบฝนที่ร้านขายของด้านบน รอเวลาให้ฝนซาแล้วค่อยเดินทางกันต่อ นั่งรอแล้ว รอเล่า ฝนก็ไม่หยุดสักที ดูเวลาก็เที่ยงแล้วเราจึงไปซื้อมาม่าต้มมากินกันก่อน

ผ่านไปไม่นานนักฝนก็เริ่มซาลง เราสองคนจึงตัดสินใจขี่รถฝ่าสายฝนไปเพราะถ้าเรารอให้ฝนหยุดเห็นทีจะยาก

เสื้อกันฝนที่เตรียมมาก็ได้ใช้อีกแล้ว เราขี่รถลงมาอย่างช้าๆ เนื่องจากถนนลื่นเกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุ ระหว่างทางลงเราแวะสักการะพระมหาธาตุเจดีย์

จากนั้นก็มุ่งหน้าตรงสู่ "บ้านแม่กำปอง"

"เวลา 13:05 น." เราลงมาถึงจุดผ่านด่านของอุทยานฯ ขณะที่ฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดและเราเองก็ไม่อยากไปถึงบ้านแม่กำปองมืด จึงขี่รถฝ่าสายฝนกันต่อ ไปละครับเจอกันอีกทีที่บ้านแม่กำปองเด้อครับ

"เวลา 15:34 น." และแล้วเราก็ทำสำเร็จแล้ว 2 ชั่วโมงกว่าๆทั้งระยะทางที่ไกล ฝนที่ตกตลอดเวลา เราก็เดินทางมาถึง "บ้านแม่กำปอง" จนได้

บ้านแม่กำปอง นั้นตั้งอยู่ที่ ตำบลห้วยแก้ว กิ่งอำเภอแม่ออน อยู่ติดกับอำเภอสันกำแพง ซึ่งตอนที่เราขี่รถผ่านตามเส้นทางมันก็คุ้นเส้นทางอยู่บ้างเพราะเมื่อปีที่แล้วเราได้มีโอกาสมาเที่ยวน้ำพุร้อนสันกำแพง

สำหรับหมู่บ้านแม่กำปองนั้นเป็นหมู่เล็กๆที่ซ่อนตัวอยู่กลางหุบเขามีทั้งหมด 120-140 หลังคาเรือน ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นคนไทยแท้ๆนี่แหละครับ ก็จะมีชาวเขาอาศัยอยู่บ้างแต่ถือว่าน้อย และในส่วนของหมู่บ้านนั้นถูกแบ่งเป็นหมด 3 ส่วนดังนี้ครับ แม่กำปองนอก , แม่กำปองกลาง , และแม่กำปองใน ส่วนที่นักท่องนิยมไปเที่ยวและไปพักรวมถึงเป็นที่ตั้งของโฮมสเตย์ ร้านอาหาร ร้านกาแฟจะอยู่ตั้งแต่แม่กำปองกลางและแม่กปองใน อ่อๆ ลืมบอกไปที่หมู่บ้านแม่กำปองมีลำธารไหลผ่านกลางหมู่บ้านเลยครับ พอเรามาถึงเราก็ขี่รถหาบ้านพักที่เราจองไว้

คืนนี้เราพักกันที่ "เฮือนบอกรัก" ราคาคิดเป็นต่อคน คนละ 550 บาทรวมอาหารเช้า

ส่วนใครจะมาที่นี่ก็เลือกที่พักได้ตามใจชอบครับ ส่วนใหญ่ที่เราเห็นในอินเตอร์เน็ตก็มีอยู่ไม่กี่ที่แต่จริงๆแล้วในหมู่บ้านมีที่พักมากมายเลยครับ สำหรับการทำโฮมสเตย์บ้านพักรวมการพัฒนาหมู่บ้านแม่กำปองเป็นแหล่งท่องเที่ยวนั้นเกิดจากความคิดริเริ่มของ "พ่อหลวงภูมินทร์" เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เมื่อก่อนนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ พอช่วง 2-3 ปีหลังเริ่มมีการโปรโมทมากขึ้นทำให้เป็นที่รู้จักของคนไทยและใครๆก็อยากมาเยี่ยมเยียนที่นี่

"เวลา 16:00 น." ได้ห้องพักแล้วขอนอนเอนหลังอีก 5 นาทีได้ไหม เราช่วยกันเก็บจัดแจงสัมภาระ จากนั้นก็ออกไปเดินเล่นพร้อมกับหาของกินบริเวณรอบๆหมู่บ้าน

บรรยากาศเงียบสงบและเรียบง่าย นักท่องเที่ยวก็มีไม่มากจนเกินไปทำให้เราเริ่มหลงรักสถานที่แห่งนี้เข้าให้แล้ว

เดินเล่นกันจนทั่วละ คงถึงเวลาที่ต้องเติมพลังกันหน่อยแล้ว เราแวะกินข้าวกันที่ร้านข้าวซอยกลอยใจติดริมถนนเลยครับ

อยู่ฝั่งตรงข้ามร้านลุงปุ๊ดป้าเป็งที่ใครๆก็รู้จัก ขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกสักหนึ่งรูป

หลังจากกินข้าวกันเสร็จเรากลับไปที่ห้องพักหยิบกุญแจรถมอร์เตอร์ไซค์ขี่ขึ้นไปด้านบนของหมู่บ้าน เพื่อยังร้านกาแฟที่มีชื่อเสียงร้านหนึ่งที่หมู่บ้านแห่งนี้น่ะก็คือ "ร้านชมนก ชมไม้"

"เวลา 16:49 น." เราเดินทางมาถึงร้านกาแฟชมนกชมไม้ ร้านนี้ตั้งอยู่เกือบด้านบนสุดของหมู่บ้านทำให้เห็นวิวหมู่บ้านที่อยู่ด้านล่าง

แต่เป็นที่น่าเสียดายสำหรับทั้งสองคนครับเนื่องร้านเปิดและปิดในเวลา 08:00-17:00 น. เราจึงได้แค่ถ่ายรูปมิได้ลิ้มลองรสชาติของกาแฟ เมื่อถ่ายรูปกันจนเสร็จเราก็กลับมายังห้องพักเพื่อนอนพักผ่อนแล้วตอนเย็นค่อยออกไปข้างนอกอีกครั้ง

"เวลา 18:23 น." หลังจากนอนเพื่อชาร์จพลังกันแล้ว เราสองคนออกมาเดินเล่นตอนเย็นกันอีกรอบกะว่าจะหาของกินเบาๆนั่งกิน แล้วค่อยซื้อเบียร์กลับดื่มกันที่ห้องพัก ไปหาของกินกันดีกว่า

มื้อเย็นวันนี้เรากินกันง่ายๆ ผมเองสั่งผัดซีอิ้ว มาดามผมจัดอาหารเหนือตามถนัด(ข้าวซอย) พร้อมกับเบียร์อีก 1 ขวด

"เวลา 19:00 น." หลังจากินข้าวเย็นเสร็จแล้วเราก็เดินไปที่ร้านค้าเพื่อหาซื้อเบียร์กลับไปกินที่ห้องอีกสัก 2-3 ขวดพอให้นอนหลับ ร้านค้าส่วนใหญ่ปิดเร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้อาจจะเป็นเพราะว่านักท่องเที่ยวยังไม่มากเท่าที่ควร แต่เรายังไม่สิ้นหวังเมื่อร้านขายของหน้าที่พักเรายังไม่ปิด

เราจึงแวะนั่งกินกันหลังร้านริมลำธารกันสองคนและก็มีเพื่อนเจ้าของร้านแวะเวียนมาชนแก้วกับเราบ้างเป็นครั้งคราว จากที่มาชนแก้วกับเราเป็นครั้งคราวถึงตอนนนี้นั่งด้วยกันแล้ว

มิตรภาพ เล็กๆได้ก่อตัวขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว อย่างน้อยถ้าเรากลับมาที่นี่เราก็ยังมีคนที่เรารู้จัก เรานั่งดื่มกันจนถึงเวลา 22:30 น. และเราสองคนก็ขอตัวกลับไปนอนก่อน ขืนนั่งต่อคงยาวแน่ๆ

"เวลา 24:16 น." เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว อาบน้ำเสร็จแล้ว เราสองคนขอตัวไปนอนก่อนนะครับ แล้วเจอกันพรุ่งนี้เช้า

"วันที่ 16 กันยายน 2560 เวลา 07:11 น." เราตื่นจากการนอนหลับ อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน เพื่อเตรียมตัวไปหาข้าวเช้ากินกัน

ดูจากสภาพอากาศวันนี้เราคงหนีฝนไม่รอดเหมือนกับ 2 วันที่ผ่านมาเป็นแน่แท้

"เวลา 08:00 น." เราเดินออกมาหาข้าวกินกันเช้านี้เราเลือกกินข้าวเช้ากันที่นี่ครับ

ร้านนี้อยู่ติดกับร้านลุงปุ๊ดป้าเป็งเลยครับ โต๊ะนั่งติดริมลำธารด้วย เมื่อมาถึงแล้วก็ไม่รอช้าจัดการสั่งอาหารเลยครับ

นั่งรอไม่นานอาหารที่เราสั่งไปก็นำมาเสิร์ฟให้เราจนครบทุกเมนู ถือว่าไวมากครับ

ขณะที่เรากำลังนั่งกินข้าวอยู่นั้นสายฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา ตกไม่หนักครับแต่ฝนเม็ดถี่มาก ดังนั้นเราจึงยกเลิกการเดินทางไปน้ำตกแม่กำปองที่อยู่ทางยอดดอยด้านบนของหมู่บ้าน เนื่องจากถนนค่อนข้างชันและลื่น และเมื่อเรากินข้าวเสร็จฝนก็ตกลงมาหนักกว่าเดิมเราเลยนั่งอยู่หน้าร้านข้าวเพื่อรอให้ฝนซาลง

ในเมื่อรอแล้วฝนก็ยังไม่ยอมหยุดสักกะที เราเลยถือโอกาสแวะกินของว่าง ขนมหวาน กันที่ร้านดังในย่านนี้ "ร้านลุงปุ๊ด&ป้าเป็ง"

คนแน่นร้านเหมือนทุกวันที่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยียนกันที่นี่

เอารูปของว่างมาฝากเผื่อใครอยากจะกิน ฮ่าๆ บรรยากาศในร้านถือว่าดีใช้ได้เลยครับ

"เวลา 10:00 น." หลังจากเสร็จสิ้นจากภารกิจอาหารเช้าแล้วเรากลับมายังห้องพักเพื่อเก็บข้าวของ สัมภาระ และเตรียมตัวเดินทางกลับ กทม. กันคืนนี้

"เวลา 11:05 น." เราทำการคืนห้องพักและเดินทางออกจากหมู่บ้านแม่กำปอง

ถ้ารอฝนหยุดเราคงต้องนอนที่นี่อีกคืนแน่ๆ ได้ชุดกันฝนที่มาดามผมเตรียมมานี่แหละเราถึงเดินทางฝ่าสายฝนมาได้ แต่ภารกิจของเราในทริปนี้ยังไม่จบนะครับ เพราะเราตั้งใจจะไปกันที่ The Giant Coffee เราจะไปขึ้นรถกันด้านล่างใกล้ๆ ที่ทำการโครงการหลวงตีนตก

"เวลา 12:30 น." นั่งรอมาชั่วโมงกว่าๆ รถก็มารับเราไปส่งที่ The Giant Coffee โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ได้ชอบการดื่มกาแฟ แต่มีสิ่งเดียวที่ผมอยากเห็นก็คือต้นไม้

"เวลา 13:00 น." ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็เดินทางมาถึง The Giant Coffee

ต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังประตูนี่แหละที่ใช้ทำเป็นร้านกาแฟ ต้นไม้ต้นนี้เป็น "ต้นไทรป่า" ดูจากขนาดของลำต้นแล้วอายุน่าจะเป็นร้อยๆปีแน่ ไม่แนะนำให้ขี่รถมอร์เตอร์ไซค์ขึ้นมาเองนะครับเพราะทางค่อนข้างชันมาก

ไหนๆ เราก็ฝ่าความลำบากขึ้นมากันแล้วเราก็ขอสั่งอาหารมาลองชิมดูสักหน่อยซิ

เรากินอาหารเสร็จเราก็กลับลงมาด้านล่างเพื่อที่จะได้เตรียมตัวเดินทางกลับเข้าตัวเมือง ซื้อตั๋วรถทัวร์และเดินทางกลับกรุงเทพฯ ตามลำดับ ช่วงขากลับลงมาจาก The Giant Coffee คนขับรถพาเราแวะที่ "ถ้ำน้ำลอด" 

ถ้ำน้ำลอดมีลักษณะเป็นหินก้อนใหญ่พาดตัวขวางลำธารอยู่และมีน้ำไหลลอดผ่านไปอย่างเห็นในภาพนั่นแหละครับ

"เวลา 14:15 น." เราเดินทางฝ่าสายฝนจากแม่กำปองมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ ระยะทางประมาณ 55 กิโลเมตร

"เวลา 15:10 น." เราใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงในการเดินทาง เรามุ่งหน้าไปที่สถานีขนส่งเชียงใหม่เพื่อซื้อตั๋วรถทัวร์กลับกรุงเทพฯ เราจองตั๋วรถทัวร์ในรอบเวลา 20:00 น. จากนั้นเรานำเอากระเป๋าไปฝากและขี่รถเข้าไปในตัวเมืองเพื่อหาซื้อของฝาก

"เวลา 18:45 น." เรานำรถไปคืนร้านที่เราเช่ามา และนั่นถือว่าเป็นการสิ้นสุดการเดินทางของเราในทริปนี้ รวมระยะทางทั้งสิ้น 372.2 กิโลเมตร

"เวลา 19:50 น." ก่อนรถออกจากสถานี 10 นาที พนักงานประจำรถประกาศบอกให้ผู้โดยสารขึ้นรถได้แล้ว

ถึงเวลาโบกมือลาจังหวัดเชียงใหม่กันแล้ว

"วันที่ 17 กันยายน 2560 เวลา 05:20 น." เราเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ พบกับเราสองคนอีกครั้งกับการเดินทางครั้งต่อไป

การเดินทางของเราในแต่ครั้งมันเกิดขึ้นจากความรักในธรรมชาติและต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการอนุรักษ์ ดังนั้นเราก็หวังว่าภาพการเดินทางต่างๆที่เราลงในโซเชียลจะเป็นชื่นชอบและเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับนักเดินทางทุกท่าน ธรรมชาติมักมอบสิ่งสวยงามให้เราเสมอ

สิ่งที่ต้องเตรียมให้พร้อมในการเดินทางครั้งนี้

  • เลือกรถให้เหมาะกับการใช้งาน
  • เสื้อกันฝนต้องมีถ้าคิดจะเที่ยวหน้าฝน
  • อุปกรณ์สำรองไฟต้องมี
  • ทนอยู่ในที่ที่ทุระกันดารได้
  • ฝึกตัวเองให้หัดเที่ยวเชิงอนุรักษ์ จะได้มีสิ่งสวยงามให้เราได้ชื่นชมไปนานๆ
  • ใช้เงินให้เป็นเพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เราใช้จ่ายไปนั้นถือว่าเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยว
  • ขับขี่รถด้วยความระมัดระวัง

รูปภาพส่งท้ายประจำทริปนี้ (แค่บางส่วนนะ)

**××**××** สวัสดี **××**××**