""สวัสดีครับเพื่อนๆพี่ๆ ที่เคารพรักทุกท่าน เที่ยวทั่วไทยไปได้ทุกเดือนกลับมาอีกครั้งแล้ว หลังจากเดือนที่แล้วเราได้เดินทางกลับไปเที่ยวบ้านเกิดของผมกันที่จังหวัด "สุพรรณบุรี" และบันทึกการเดินทางเราก็เคยได้เขียนไว้แล้วและตอนที่กลับไปก็ยังไม่ได้ไปยังสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดเลยไม่ได้เขียนบันทึกการเดินทางมาฝากกัน เอาล่ะๆ ตอนนี้ก็เข้าสู่เดือนพฤศจิกายน แล้วและทางกรมอุตุนิยมวิทยาก็ได้ประกาศให้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูหนาวกันแล้วและสิ่งแรกที่เราคิดกันก็คือเราจะไปไหนกันดี จะออกเหนือหรืออีสานดีนะ คิดไปคิดมาเอาแผนที่ขึ้นมาดูดีกว่าจะได้เลือกถูก และแล้วเราก็ได้จุดหมายปลายทางของเราในทริปนี้นั่นก็คือจังหวัด "น่าน" เมื่อได้สถานที่ที่เราจะไปกันแล้ว เราก็เตรียมลงมือหาข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวต่างๆของจังหวัดนี้กันเพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการเดินทางเที่ยวชมแต่ละสถานที่ว่าเราจะต้องเตรียมอะไรกันบ้าง
พี่เสร็จแล้วเราก็มานั่งคุยกันว่าเราจะออกเดินทางกันวันไหน ต่างฝ่ายต่างเช็คตารางงานของตัวเองด่วนเพื่อให้ส่งผลกระทบต่อการทำงานน้อยที่สุดเราจึงเลือกที่จะไปเที่ยวทริปนี้กันในช่วงวันที่ 11 - 15 พฤศจิกายน 2559 หลังจากสรุปวันออกเดินทางได้แล้วเราก็จัดการไปจองตั๋วรถทัวร์กัน
เดิมทีเราคิดว่าจะขึ้นเครื่องบินไปแต่คิดดูแล้วเราต้องขึ้นเครื่องเช้าวันที่ 12 พฤศจิกายน 2559 เราเลยเลือกเดินทางตั้งแต่คืนวันที่ 11 พฤศจิกายน 2559 เลยจะได้ถึงที่นั่นแต่เช้าและออกเที่ยวกันเลย ครั้งนี้ผมลองเปลี่ยนมาใช้บริการของ "สมบัติทัวร์" ดูบ้างหลังจากใช้ของอีกบริษัทหนึ่งมาตลอด (นครชัยแอร์)
""วันที่ 10 พฤศจิกายน 2559"" ก่อนเดินทาง 1 วันบอกตรงๆเลยครับว่าตื้นเต้นเอามากๆ เพราะการเดินทางครั้งนี้มันรู้สึกว่าเรายังใหม่กับสถานที่ที่เราจะไปกันแต่เรื่องเที่ยวไม่มีอะไรต้องกังวลอยู่แล้ว วันนี้ผมก็เลยถือโอกาสเก็บกระเป๋าเพื่อเตรียมความพร้อมเพื่อจะได้ไม่เร่งรีบจนลืมข้าวของ
เป้ 2 ใบเดิมกล้องตัวเดิม เรียบร้อยแล้วครับ แต่ต้องตรวจดูความเรียบร้อยพรุ่งนี้อีกรอบเพื่อความแน่ใจ แล้วเจอกันพรุ่งนี้ที่หมอชิตครับ
""วันที่ 11 พฤศจิกายน 2559"" และแล้วก็มาถึงวันเดินทางที่เราเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ แต่ก่อนออกเดินทางเราก็เจออุปสรรคเข้าเสียแล้วนั่นก็คือ "รถติด" ซึ่งมันทำให้เราเกือบตกรถกันเลยทีเดียวเพราะว่าผมไปจำว่ารถออกเวลา 20:40 น. แต่เวลาที่รถออกจริงๆมันเป็นเวลา 20:20 น. พอเห็นตั๋วเท่านั้นแหละ วิ่งซิครับรออะไร โชคดีของเราที่รถยังไม่ออกจากชานชาลาแต่ผู้โดยสารก็กำลังทยอยขึ้นรถกันอยู่พอดีครับ เราก็เดินขึ้นบนรถเพื่อไปหาที่นั่งของเรากัน เมื่อได้ที่นั่งแล้วถึงกับถอนหายใจกันเลยทีเดียว
ผู้โดยสารเต็มทุกที่นั่งครับ โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่หลงใหลการเดินทางโดยรถทัวร์ตอนกลางคืนมากๆ เมื่อได้ที่นั่งกันแล้วก็จัดแจงสัมภาระเข้าที่เตรียมตัวพักผ่อนระหว่างเดินทางครับ
""เวลา 20:45 น."" รถทัวร์เคลื่อนที่ออกจากชานชาลาเพื่อเดินทางมั่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางของเราในทริปนี้นั่นก็คือ "จังหวัดน่าน" เราจะใช้เวลาเดินทางกันประมาณ 8-10 ชั่วโมงครับ นอนละเจอกันที่ปลายทาง 😴😪😫
""เวลา 01:45 น."" รถทัวร์เดินทางมาถึงจุดพักรถแม่สุรีย์ จังหวัดพิษณุโลก พนักงานต้อนรับแจ้งให้ผู้โดยสารทุกคนพักผ่อนและนำหางตั๋วไปแลกรับประทานอาหารได้ที่นี่ เราสองคนลงไปรับกินก๋วยเตี๋ยว ล้างหน้าล้างตา ยืดแข้งยืดขา เพื่อบรรเทาความเมื่อยล้า ก่อนที่จะกลับมาขึ้นรถแล้วเดินทางกันต่อครับ
""วันที่ 12 พฤศจิกายน 2559 เวลา 06:20 น."" เราเดินทางมาถึงสถานีขนส่งจังหวัดน่าน หลังจากนั้นเราก็เดินเท้าเข้าตลาดเพื่อหาของกินและหาร้านเช่ารถมอร์เตอร์ไซค์
ตลาดเช้าที่อยู่ใกล้บริเวณขนส่งจังหวัดน่านครับ เป็นตลาดเล็กๆ ตลาดที่นี่พวกพ่อค้าแม่ค้าจะไปรับของจากตลาดในตัวเมืองมาขายต่อกันที่นี่อีกที เราเดินซื้อของกิน หมูปิ้ง แคปหมู และน้ำดื่ม พอได้ของกินจนครบเราก็สอบถามคนพื้นที่เกี่ยวกับร้านเช่ารถมอร์เตอร์ไซค์ เขาบอกว่าเราต้องเดินเขามาในตัวเมืองถึงจะมีร้านเช่ารถมอร์เตอร์ไซค์ เมื่อได้ความเราก็ไม่รอช้ามุ่งหน้าเดินทางเข้าไปในตัวเมืองเพื่อหาร้านเช่ารถกันต่อ แต่ก่อนออกเดินทางเราก็ต้องตักบาตรทำบุญเอาฤกษ์เอาชัยกันก่อนครับ
เราเดินผ่านหมูบ้านมาเรื่อยๆ พลางแวะถามทางไปด้วย แต่พอมาถึงร้านยังไม่เปิดเนื่องจากมันยังเช้าเกินไปเราจึงตัดสินใจที่จะหาที่นั่งพักเพื่อกินข้าวกันก่อนและก็มาเจอศาลาริมแม่น้ำน่านเราจึงนั่งพักผ่อนเพื่อรอเวลาที่ร้านเช่ารถจะเปิดให้บริการ หลังจากนั่งรอมาประมาณครึ่งชั่วโมงร้านเช่ารถก็เปิดประตูจนได้ เรารีบเดินเข้าไปติดต่อเรื่องราคาการเช่ารถทันที พอทราบราคาบวกกับสถานที่เราจะไป เราจึงตัดสินใจที่จะเลือกใช้รถยี่ห้อ "Honda PCX 150 cc"
สนนราคาค่าเช่า 450 บาท/วัน ไม่มีค่ามัดจำเพราะเจ้าของร้านให้เหตุผลว่าถ้าเก็บเงินมัดจำบางคนมีงบมาน้อยอาจจะทำให้เขาไม่ได้เที่ยวก็ได้ ผมว่าเหมือนมันเป็นการซื้อใจกันเลยครับแต่มีการเก็บบัตรประชาชนไว้ ร้านพี่เขาชื่อร้าน "พิชัยมอร์เตอร์" ตรงข้ามกับร้าน "ลุงสังข์ฟอร์นิเจอร์" ในเมื่อรถพร้อมคนพร้อมเราก็ไม่รอช้าครับ ได้เวลาแว๊นกันแล้ว ลุย !!!
""เวลา 09:15 น."" เราเริ่มออกเดินทางจากตัวเมืองหลังจากที่เช่ามอร์เตอร์ไซค์ได้แล้ว เราเลือกที่จะมุ่งหน้าสู่ "อุทยานแห่งชาติขุนสถาน" ก่อนเป็นที่แรก ตัวอุทยานตั้งอยู่ในเขตของอำเภอนาน้อย ห่างจะตัวเมืองประมาณ 45-50 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางชั่วโมงเศษๆ เนื่องจากเราไม่ชินทาง ระหว่างทางเราได้แวะไปไหว้พระธาตุจอมแจ้งกันก่อนครับ
พระธาตุจอมแจ้งตั้งอยู่บนเนินเขาและเป็นที่รกร้างไม่มีใครดูแลครับน่าเสียดายจริงๆ เราแวะสักการะเพื่อเป็นสิริมงคลสักหน่อย หลังจากนั้นเราก็เดินทางมุ่งหน้าสู่ อช.ขุนสถาน
กันต่อระหว่างทางก็แล้วเข้าไปใน อช.ขุนสถาน นั้นเราก็จะเห็นร้านเช่าเต็นท์และซื้อขายเต็นท์เรียงรายอยู่เป็นระยะๆ จากทางหลักที่เราวิ่งมาเราต้องเลี้ยวขวาเข้าไปอีก 35-40 กิโลเมตรโดยประมาณกว่าจะถึงที่ทำการอุทยาน แต่ก่อนที่จะถึงที่ อช.ขุนสถานก็จะผ่านหมู่บ้านด้วยครับ ทางค่อนข้างสูงชัน
เราเดินทางมาถึงที่ทำการอุทยานขุนสถานประมาณเที่ยงวันพอดี
ทางขึ้นที่ทำการอุทยานค่อนข้างชันพอสมควรต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ด้วยนะครับ ขณะที่เราอยู่บนอุทยานเมฆหมอกเริ่มพัดมาทำให้อากาศเย็นสดชื่นมาก ด้านบนอุทยานมีพื้นที่กางเต็นท์แต่ดูจากเนื้อที่ด้านบนแล้วค่อนข้างจำกัดหากใครสนใจจะไปกางเต็นท์ก็เช็คกับทางอุทยานด้วยนะครับ
เราไม่ได้นอนกันที่นี่แต่ขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะมันคือความสุขเล็กๆครับ เหลือบเวลาดูนาฬิกานี่มันเกือบบ่ายแล้วและบรรยากาศก็เหมือนฝนจะตกเราจึงเรียบลงจากอุทยานแห่งชาติขุนสถาน อ่อๆ ลืมบอกไปบน อช. ขุนสถาน มีหมู่บ้านม้งอยู่ข้างบนด้วยพวกชาวม้งเขาปลูกสตรอเบอรี่ขายกันช่วงที่เรามาเที่ยวผลผลิตกำลังผลิดอกออกผลอยู่พอดี หลังจากนั้นเราขับรถมุ่งหน้าไปกันที่ "เสาหิน" กันต่อซึ่งเสาหินอยู่ทางผ่านที่จะไป อช.ศรีน่าน ดอยเสมอดาว พอดี เราจึงไม่พลาดโอกาสที่จะเที่ยวแวะชมความงามของธรรมชาติที่ใช้กาลเวลารังสรรความงามให้มนุษย์อย่างเราได้เห็น เราใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึง "เสาหิน" ครับ
"เสาหิน" สันนิษฐานว่าเป็นที่อาศัยของคนยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งในบริเวณนี้ได้ค้นพบหินที่มีลักษณะเหมือน ขวาน หลากหลายรูปแบบ
เราเดินถ่ายรูปบริเวณเสาดินโดยรอบจนเป็นที่พอใจแล้วก็เดินทางกันต่อเพื่อมุ่งหน้าไปยังที่พักแรมของเราในวันนี้
""เวลา 14:22 น."" เราขับมอร์เตอร์ไซค์เดินทางกันต่อ จากเสาหินไปก็ประมาณอีก 15-20 กิโลเมตรก็จะถึง "อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ดอยเสมอดาว"
""เวลา 15:00 น.:"" และแล้วเราก็มาถึงยัง "อุทยานแห่งชาติศรีน่าน" แวะจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานเป็นเงิน 120 บาท
จากนั้นขับรถต่อไปอีกหน่อยก็จะถึงลานกางเต็นท์ เรามีแต่เต็นท์แต่ไม่มีอุปกรณ์เครื่องนอนจึงได้ทำการติดต่อกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เพื่อทำงานเช่าแต่ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาพักผ่อนกันอย่างคับคลั่งจึงทำให้อุปกรณ์เครื่องนอนที่เราจะเช่านั้นหมด คืนนี้คงต้องทนหนาวกันแน่ๆเลย ในเมื่อไม่มีไม่เป็นไรเราก็เดินหน้าหาที่กางเต็นท์กันต่อเรื่องอุปกรณ์เครื่องนอนค่อยว่ากัน เราเลือกกางเต็นท์กันตรงเนินด้านบนร้านค้าสวัสดิการดอยเสมอดาวซึ่งตรงนั้นไม่ค่อยมีคนกางเต็นท์กันมากนักเราจะได้พักผ่อนกันเต็มที่ไม่มีเสียงรบกวนในตอนนอนแต่ขณะที่เรากำลังกางเต็นท์กันอยู่นั้น โครงเสาของเต็นท์ที่ผมอุตส่าห์แบกมาจากกรุงเทพฯ มันดันหักเสียอีก
มันช่างเป็นวันที่ซวยของเราจริงๆ อุปกรณ์เรื่องนอนหมด เต็นท์พัง แต่เราก็ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค เราจึงทำการซ่อมเต็นท์เพื่อให้กลับมาใช้งานได้ชั่วคราวไปก่อนและนั่งภาวนาว่าคืนนี้มันจะไม่พัง
ในความซวยของรามันก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างเพราะเราสามารถซ่อมเต็นท์ที่หักให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง เรารู้สึกภูมิใจมากที่สามารถเอาชนะอุปสรรคนั้นได้ (อมยิ้ม) เมื่อเสร็จจากการกางเต็นท์เราก็เดินถ่ายรูปกันบริเวณที่เรานอนกัน
บรรยากาศโดยรอบก่อนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า
และแล้วแสงสุดท้ายของวันก็กำลังจะสั่งลา ส่งต่อความสว่างยามค่ำคืนให้กับพระจันทร์ที่กำลังจะมาทำหน้าที่แทน 😚😆😄
หลังจากนั้นเราก็ไปยังร้านค้าที่อยู่ระหว่างทางขึ้นดอยเสมอดาวเพื่อไปสั่งอาหารเย็นมากินกันคืนนี้ เราไปสั่งอาหารที่ "ร้านกมลวรรณ" อาหารของเราในยามค่ำคืนเป็นหมูจุ่ม 1 ชุด , ยำมาม่า , ผัดซีอิ้ว พอสั่งอาหารเสร็จเราก็เลยลองถามเจ้าของร้านที่เราสั่งอาหารว่ามอุปกรณ์เครื่องนอนให้เราเช่ามั้ย และแล้วโชคก็เข้าข้างเราอีกครั้ง เพราะป้าเจ้าของร้านใจดีมากให้เรายืมผ้าห่มมา 1 ผืน ต้องขอบคุณในความมีน้ำใจของคุณป้าเจ้าของร้านมากที่ให้เรายืมโดยไม่คิดเงินเลยสักกะบาทเดียว พอได้ผ้าห่มแล้วเราก็ไปจัดสถานที่บริเวณรอบๆเต็นท์สำหรับอาหารเย็น
""เวลา 18:30 น."" ทางร้านกมลวรรณที่เราได้ทำการสั่งอาหารไว้โทรมาให้เราลงไปรับอาหาร เราไม่รอช้ารีบไปนำอาหารที่สั่งมากินกัน แต่ในเมนูของหมูจุ่มเนี่ยต้องก่อไฟเองซึ่งมันไม่ใช่ปัญหาสำหรับเราอยู่แล้ว ระหว่างที่รอน้ำซุปเดือดเราก็กินอย่างอื่นรอไปพลางๆก่อน เนื่องจากวันนี้เราเดินทางเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รอไม่นานน้ำซุปก็เดือด อากาศหนาวได้ซดร้ำซุปร้อนๆมันช่วยแก้หนาวได้เยอะครับ แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ในทริปนี้นั่นก็คือ "เบียร์" อย่างว่าแหละบรรยากาศมันพาไปเลยต้องจัดสักหน่อย นั่งดื่มเบียร์เย็นๆ นั่งดูดาวไปด้วยมันช่างมีความสุขอะไรอย่างนี้
""เวลา 21:15 น."" หลังจากที่เรากินกันอิ่ม ดื่มเบียร์กันจนหายอยากแล้วก็ได้เวลาเข้านอนแล้วครับ เจอกันพรุ่งนี้เช้าครับ Good Night
""วันที่ 13 พฤศจิกายน 2559 เวลา 05:00 น."" เสียงนาฬิกาปลุกดังเตือนเรานั่นหมายความว่าเช้าวันใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่จริงๆแล้วเมื่อคืนเราก็ไม่ได้หลับสนิทกันหรอกครับต้องตื่นเป็นระยะๆ เนื่องพื้นที่ตรงที่เรากางเต็นท์เป็นพื้นที่ลาดเอียงดังนั้นทำให้เวลานอนเราจะค่อยๆไหลลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกถือว่าเป็นการนอนที่ทรมานมาก พอตื่นขึ้นมาเราก็เตรียมตัวจัดแจงล้างหน้าล้างตาเรียกความสดชื่นกันสักหน่อยจะได้ตื่น
""เวลา 05:45 น."" เราเดินขึ้นไปยังลานดูดาวที่ดอยเสมอดาวเพื่อขึ้นไปต้อนรับพระอาทิตย์ที่กำลังจะฉายแสงเพิ่มความอบอุ่นให้กับเรา
เช้ามืดวันนี้ที่ดอยเสมอดาวคนเยอะมากๆ ทุกคนมาเพื่อจุดประสงค์เดียวกัน แสงค่อยๆ สว่างขึ้นทีละนิด เรานั่งรอกันอยู่อีกสักครู่หนึ่ง
""เวลา 06:25 น."" และแล้วเจ้าพระอาทิตย์ก็ออกมาทักทายเราและผู้คนที่ยืนรอดูอย่างใจจดใจจ่อ
กี่ครั้งกี่ทีที่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกับทะเลหมอกที่อยู่เบื้องล่างมันก็อดตื่นเต้นไม่ได้เลยสักครั้ง ทุกคนที่ยืนรอดูพระอาทิตย์ขึ้นต่างพร้อมใจกันกดชัตเตอร์เพื่อเก็บภาพความประทับใจนี้ไว้ ธรรมชาติมักมอบสิ่งที่สวยความให้เราเสมอ แต่คนเราต่างหากที่จะทำมันเลือนหายไปจากเราเอง หลังจากที่เราดูพระอาทิตย์ขึ้นกันแล้วเราก็เดินกลับมายังเต็นท์ของเราเพื่อมาเก็บภาพความประทับใจของทะเลหมอกที่อยู่อีกด้านหนึ่งของดอยเสมอดาว ตรงหน้าเต็นท์เรานี่แหละครับ
และถือโอกาสเก็บเต็นท์และสัมภาระเพื่อออกเดินทางกันต่อไปยังสถานที่ถัดไปของเราในทริปนี้
""เวลา 08:22 น."" เราเริ่มออกเดินทางออกจากอุทยานแห่งชาติศรีน่านกันครับ ก่อนออกเดินทางเราแวะเอาผ้าห่มคืนให้กับป้าเจ้าของร้านอาหารกมลวรรณและขอบคุณในน้ำใจที่เราได้รับในครั้งนี้ ทำให้เรารอดพ้นความหนาวเย็นมาได้ และสิ่งสำคัญที่เราจะลืมไม่ได้ในการมาเที่ยวอุทยานแห่งชาตินั่นก็คือ
การประทับตราของอุทยานแห่งชาติ เราไม่ได้ไปที่ผาชู้ที่อยู่ถัดขึ้นไปจากดอยเสมอดาว เมื่อเสร็จสิ้นแล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อเพื่อไปยังอำเภอบ่อเกลือ การเดินทางไปอำเภอบ่อเกลือเราต้องขับมอร์เตอร์ไซค์ย้อนกลับไปในตัวจังหวัดน่านก่อน ผมเลยถือโอกาสแวะที่เทสโก้ โลตัส เพื่อหาซื้อเสาโครงเต็นท์ที่หักด้วยเลย เตรียมเผื่อไว้หากไม่มีห้องพักว่างจะได้กางเต็นท์นอนกันต่อ
""เวลา 11:15 น."" เราขับมอร์เตอร์ไซค์ซื้อของที่ต้องการกินข้าวเพื่อเพิ่มพลังในเดินทาง หลังจากนั้นเราก็ออกเดินทางกันต่อ ระหว่างทางที่เราไปอำเภอบ่อเกลือนั้นเราก็ได้แวะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวเมืองน่านนั่นก็คือ "พระธาตุแช่แห้ง"
"พระธาตุแช่แห้ง" ตั้งอยู่ในวัดพระธาตุแช่แห้งเป็นพระอารามหลวงและเป็นพระธาตุประจำวันเกิดปีเถาะ ในตัววัดก็จะมีโบสถ์ วิหาร ที่ถูกสร้างขึ้นและเป็นโบราณสถานอยู่คู่จังหวัดน่าน
เราสักการะพระธาตุ ไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคลให้กับตัวเราเองแล้ว เราก็ออกเดินทางกันต่อ
""เวลา 12:03 น."" เราเดินทางออกจากวัดพระธาตุแช่แห้ง ใช้เส้นทางอำเภอสันติสุข - อำเภอบ่อเกลือ ระยะทางประมาณ 120 กิโลเมตรเห็นจะได้ เส้นทางค่อนข้างคดเคี้ยวและโค้งเยอะมาก อีกทั้งทางยังลาดชันเป็นอย่างมาก เป็นเส้นทางที่ถือว่าโหดพอใช้ได้เลยครับ ผ่านป่า ผ่านหมู่บ้านสลับกันแต่นานๆถึงจะเจอหมู่บ้านและรถที่สวนกันสักคัน หากใครจะใช้เส้นทางนี้คำนวณเรื่องน้ำมันให้ดีนะครับ ถ้าเกิดน้ำหมดขึ้นมาต้องเข็นสถานเดียว
เราขับรถกันไปเรื่อยๆ ชมวิวทิวทัศน์สองทางไปด้วย แต่พอเหลือบดูระดับน้ำมันที่หน้าปัดเกือบซวยแล้วเพราะน้ำมันกำลังจะหมด กระพริบเตือนเราเข้าแล้ว เราดูจากหลักกิโลก็อีกประมาณ 5 กิโลเมตรกว่าจะถึงตัวอำเภอสันติสุข บอกตรงๆเลยครับเราสองคนลุ้นหนักมากขืนหมดตอนนี้เข็นสถานเดียวครับพี่น้อง แต่โชคยังเข้าข้างเรา เพราะน้ำมันที่มันกระพริบเตือนนั้นไม่หมดและเราก็เดินทางมาถึงปั้มน้ำมันจนได้
""เวลา 13:15 น."" ตอนนี้เราเดินทางมาถึงอำเภอสันติสุขแล้วถือว่าเรามาได้ครึ่งทางแล้ว หนทางข้างหน้ายังเป็นทางขึ้นเขา ลงเขา สลับกับโค้งรอเราอยู่แต่ที่เบาใจไปได้อย่างหนึ่งคือตอนนี้น้ำมันเต็มถังแล้วซัดกันไปยาวๆเลยครับทีนี้
""เวลา 14:10 น."" เราเดินทางมาถึง "อำเภอบ่อเกลือ" กันแล้วต้องขอบอกเลยนะครับว่าหนทางโหดมาก รวมระยะจาก อช.ศรีน่าน ถึง อำเภอบ่อเกลือ ทั้งสิ้น 180 กิโลเมตร ในเมื่อเราเดินทางมาถึงอำเภอบ่อเกลือกันแล้วเราก็ต้องไปตามหาแหล่งผลิตเกลือกัน
และนี่ก็คือบ่อเกลือโบราณที่ใช้กันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
เราเดินขึ้นไปดูด้านบนจึงทำให้เรารู้เราเข้าใจว่าเกลือภูเขาที่เขาว่ากันมันเป็นแบบนี้นี่เอง ชาวบ้านจะต่อท่อเพื่อดูดน้ำขึ้นมาแล้วพักไว้ในถัง น้ำในบ่อไม่เคยแห้ง ไม่เคยท่วม
ถ้าจะต้มก็ติดไฟแล้วเปิดน้ำที่พักไว้ในถังลงกระทะต้มทิ้งไว้ 6 ชั่วจนกลายเป็นเกลือและตักใจตะกร้าที่แขวนไว้รอให้แห้งเป็นอันเสร็จ เกลือที่ได้ก็เป็นเกลือป่นคุณภาพดีสามารถนำไปใช้ได้เลย ผมชิมดูแล้วว่ามีความเค็มกำลังดีครับ บ่อเกลือที่นี่ทั้งอำเภอมีแค่ 2 บ่อเท่านั้น บ่อที่เราไปเที่ยวมีเจ้าของ ส่วนอีกบ่อเป็นของสาธารณะครับ
""เวลา 15:30 น."" เราเดินทางกันต่อเพื่อไปหาที่พักกันที่หมู่บ้านสปัน ระหว่างทางที่เราขับรถไปที่หมู่บ้านสปันนั้นก็จะผ่าน "อช.ขุนน่าน"
จากทางเข้าอุทยานต้องขับขึ้นเนินไปอีกประมาณ 500 เมตรก็จะถึงที่ทำการอุทยานฯ ก็เหมือนเช่นเคยครับในเมื่อเรามาถึงอุทยานแห่งชาติแล้ว เราก็ต้องประทับตราประจำอุทยานแห่งชาติกันสักหน่อย
ได้ตราประทับอุทยานแห่งชาติกันเป็นที่เรียบร้อย เรามุ่งหน้าไปหาที่พักกันต่อที่หมู่บ้านสปัน ที่หมู่บ้านสปันแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงด้านเครื่องจักรสาน มีภูเขาล้อมรอบ มีแม่น้ำมางไหลผ่านหมู่บ้าน เราเข้าไปในหมู่บ้าน
หยุดถ่ายภาพบนสะพานกลางหมู่บ้าน เห็นมีเด็กๆเล่นน้ำกันและเห็นที่พักที่อยู่ริมน้ำและที่นั่นก็คือ "อุ่นไอมาง" ที่หลายคนอยากมาพัก เดิมทีเราก็เลือกที่จะพักที่นี่เหมือนกันแต่เราก็เลือกที่จะสอบถามที่อื่นก่อนเพื่อเป็นการเปรียบเทียบราคากัน แต่ขณะที่ขับรถออกมาเราเห็นป้ายน้ำตกเราจึงแวะเข้าไปดูสักหน่อย
นี่คือ "น้ำตกสปัน" ที่อยู่กลางหมู่บ้านและเป็นพื้นที่ที่อยู่ในความดูแลของ อช.ขุนน่าน พอเข้าไปดูน้ำตกเสร็จเราจึงออกมายังปากทางเข้าหมู่บ้านเพราะเราเห็นที่รีสอร์ทอีกหนึ่งแห่ง เราจึงเข้าไปสอบถามราคากับพนักงานที่นั่น พนักงานน่ารักมากครับเป็นชาวเขาเห็นเราขับรถเข้าไปก็เดินเข้ามาทักทายพร้อมสวัสดี มันทำให้ผมเกิดความประทับใจเล็กๆขึ้นในใจ ประกอบกับราคาเราจึงตัดสินใจเลือกพักที่นี่
""เวลา 15:10 น."" เราเข้าพักที่ "ขุนเขาธารารีสอร์ท" สนนราคาเขาพัก 1,000 บาทรวมอาหารเช้า ห้องพักที่นี่มีทั้งกระโจมและเต็นท์ราคาดังนี้ครับ
- ห้องพักแบบกระโจม 1,000 บาท + อาหารเช้า
- แบบเต็นท์ 700 บาท + รวมอาหารเช้า
- มีเต็นมาเองคนละ 250 บาท + อาหารเช้า
พี่เอ็กซ์ & พี่ขวัญ เจ้าของรีสอร์ทให้เหตุผลว่าทุกราคารวมอาหารเช้านั่นก็เพราะว่า อยากให้ลูกค้าที่มาพักที่นี่เท่าเทียมกันไม่ว่าจะนอนแบบไหน เราได้ยินแล้วคือแบบว่ามันใช่อ่ะครับ ใครสนใจติดต่อตามนี้ครับ
1,000 บาทที่เราจ่ายไปเราได้ห้องพักแบบกระโจมติดริมแม่น้ำมาง วันที่เราเข้าพักเป็นวันอาทิตย์มีลูกค้า 2 ห้องกระโจมรวมเราด้วยและฝรั่งที่เอาเต็นท์มากางเองอีก 2 คน จากนั้นเรานำสัมภาระไปเก็บไว้ในที่พัก
เก็บสัมภาระเสร็จก็เดินเก็บภาพรอบๆรีสอร์ท ก่อนที่จะไปนั่งดื่มเบียร์กันริมแม่น้ำมาง
เรานั่งเล่นอยู่ริมแม่น้ำจนถึงเย็นๆ มีน้องพนักงานมาสอบถามเรื่องอาหารการกินกับเราแต่เราคิดว่าจะออกไปกินกันที่ "ร้านครูผึ้ง" ที่อยู่ในหมู่บ้านเลยไม่ได้ต้องการอะไรจากทางรีสอร์ท
""เวลา 17:30 น."" เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวฟ้าก็ย่อมมืดเร็วเป็นเรื่องธรรมดา เราจึงรีบขับรถเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อไปหาข้าวกินที่ร้านครูผึ้ง แต่พอเราไปถึงร้านอาหารครูผึ้งที่เราหวังจะฝากท้องด้วยดันปิดเสียอีก ทำไงได้ครับ เราจึงแวะซื้อของกินที่ร้านค้าชุมชนจากนั้นก็กลับมายังที่พัก และอาหารเย็นเราคงหนีไม่พ้น
"มาม่า" ซิครับ เดินไปขอน้ำร้อนกับทางพี่เอ็กซ์เจ้าของรีสอร์ท พี่เอ็กซ์แกคงสังเกตุเห็นว่าเราสองคนหิวมั้งจึงถามเราว่า
พี่เอ็ก : ทานข้าวไข่เจียวมั้ยครับ ?
เรา : หันมองหน้าแล้วตอบไปว่า "ครับ"
พี่เอ็กซ์ : รอผมสักครู่นะครับขอหุงข้าวก่อน
เรา : ไม่มีปัญหาครับ
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งความประทับใจที่เราได้รับจากที่นี่ เราจึงเดินไปนั่งกินมาม่ารอที่ริมน้ำกันต่อ พอฟ้ามืดทางรีสอร์ทเปิดไฟทั่วทั้งรีสอร์ทมันก็สวยไปอีกแบบ
เรานั่งรออยู่สักชั่วครู่หนึ่งพี่ขวัญก็นำข้าวไข่เจียวมาส่งให้เรา เราสองคนนี่ถึงกับยิ้มเลยงานนี้อิ่มแน่ๆ
""เวลา 21:34 น."" เรานั่งดื่มกินกันจนถึงเวลาดึกดื่นร่างกายก็ต้องการการพักผ่อนหลังจากขับรถมาไกลเกือบ 200 กิโลเมตร เราก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำท่ามกลางอากาศที่กำลังเย็น จากนั้นเราก็เข้านอนพักเอาแรงและเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ Good Night
""วันที่ 14 พฤศจิกายน 2559 เวลา 05:45 น."" ได้เวลาตื่นแล้ว ตื่นขึ้นมาพร้อมกับอากาศที่สดชื่นพร้อมกับหมอกที่ปกคลุมทั่วทั้งรีสอร์ท
เรายืนอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดกันอย่างเต็มที่ ก่อนที่จะไปล้างหน้าแปรงฟันกัน พอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเราเดินมายังที่กินอาหารเช้ากันเพื่อชงกาแฟกับโอวัลตินไปนั่งดื่มกันริมน้ำที่เรานั่งเมื่อคืน
ที่นี่เป็นสถานที่เตรียมอาหารเช้าสำหรับลูกค้าที่เข้าพักที่ "ขุนเขาธารารีสอร์ท" โดยปกติอาหารเช้าจะเริ่มตอน 7 โมงเช้า แต่สงสัยว่าพี่เอ็กซ์กับพี่ขวัญคงเห็นว่าเราหิวตั้งแต่เมื่อคืนจึงบอกให้เราทานได้เลย
เราสองคนนั่งกินอาหารเช้าท่ามกลางสายหมอกยามเช้า เดิมทีเราก็คิดว่าอาหารเช้ามีเพียงเท่านี้แต่ผ่านไปสักพักพี่เขาเอาอาหารมาเพิ่มให้อีก
เป็นชุดไข่ดาว ไส้กรอก แฮม แล้วก็ขนมปังชุบไข่ ถึงตอนนี้รู้ยังครับว่ามาพักที่นี่คุ้มแค่ไหน เรานั่งกินอาหารเช้าอยู่ยันถึงเวลา 07:30 น.
""เวลา 08:32 น."" หลังจากกินอาหารเช้า อาบน้ำ เก็บสัมภาระ เสร็จเราก็ออกเดินทางกันต่อเพื่อมุ่งหน้าไปยัง "อำเภอปัว"
ระยะทางจาก อำเภอบ่อเกลือ - อำเภอปัว ประมาณ 50-55 กิโลเมตร หนทางต่อจากนี้เป็นทางขึ้นเขาลงเขาทั้งสิ้นและระหว่างทางก็จะผ่าน "อุทยานแห่งชาติดอยภูคา"
จุดที่ 1 อุทยานแห่งชาติดอยภูคาจุดที่สูงที่สุด และเลข 1715 คือระดับความสูงจากน้ำทะเลปานกลาง
จุดที่ 2 อุทยานแห่งชาติดอยภูคา จุดนี้เป็นจุดที่อยู่ระหว่างกลางจุดที่ 1 และ 3 จุดนี้เราเริ่มสังเกตุเห็นต้นชมพูภูคาได้
เราทำการประทับตราอุทยานแห่งชาติกันที่นี่ครับ
จุดที่ 3 เป็นจุดศูนย์กลางที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยภูคา
จุดนี้ด้านในมีบ้านพักรับอยู่หลายหลังหลายแบบให้เราเลือกได้ถ้าไม่อยากนอนเต็นท์
ทั้ง 3 จุดนี้สามารถกางเต็นท์ได้ทั้งหมดนะครับเพราะแต่ละจุดก็จะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่เพื่อดูแลนักท่องเที่ยว ถึงตอนนี้เราเดินทางมาได้ครึ่งทางละเหลืออีกประมาณ 20 กิโลเมตรกว่าๆ เรามุ่งหน้าเดินทางกันต่อเลยครับ
ดูจากเวลาแล้วเราน่าจะถึงก่อนเวลาที่เราคาดไว้ เราจึงตกลงกันว่าจะแวะเที่ยวตามสถานที่ต่างๆที่เราขับรถผ่าน
""เวลา 10:00 น."" เราเดินทางเข้าสู่เขตอำเภอปัวแล้ว สองตามองหาป้ายบอกทาง บอกสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่ และแล้วเราก็มาเจอสถานที่แรกนั่นก็คือ "วัดภูเก็ต"
"วัดภูเก็ต" นะครับไม่ใช่จังหวัดภูเก็ต อิอิ วัดนี้เป็นโรงเรียนสอนพระปริยติธรรมให้สามเณรและพระภิกษุด้วย และวัดนี้ก็ขึ้นชื่อในเรื่องของวิวทิวทัศน์ที่สวยงามอีกด้วย
ช่วงที่เราเดินทางไปเที่ยวอำเภอปัวเป็นช่วงที่ชาวนากำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตเราเลยอดเห็นทุ่งข้าวสีเหลืองทอง
เราถือโอกาสพักผ่อนที่วัดนี่เลยครับ ก่อนที่จะขับรถออกจากวัดและขับย้อนไปสักการะ "พระธาตุจอมแจ้ง" ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงและมีจุดชมวิวที่สามารถเห็นท้องทุ่งนาได้แบบพาโนราม่ากันเลยทีเดียว
"พระธาตุจอมแจ้ง" ที่อำเภอปัวเป็นพระธาตุคนละองค์กับที่อยู่ที่อำเภอเวียงสานะครับ "พระธาตุจอมแจ้ง" ที่อำเภอปัวสร้างก่อน "พระธาตุแช่แห้ง" ที่อำเภอภูเพียงและยังเป็นพระธาตุพี่น้องกับ "พระธาตุจอมทอง" ที่อยู่อีกตำบลหนึ่งของอำเภอปัว เราไหว้สักการะ ทำบุญ พร้อมกับนั่งคุยกับคุณลุงที่เฝ้าพระธาตุแห่งนี้
เราเขียนชื่อที่ผ้าที่เตรียมไว้เปลี่ยนให้พระธาตุและพิธีเปลี่ยนผ้าให้พระธาตุจะจัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีนะครับ จากนั้นเรามุ่งหน้าไปกันต่อที่วัดปรางค์ ซึ่งมีสิ่งที่ผมอยากรู้มากๆสิ่งหนึ่งกำลังรอให้เราไปพิสูจน์กันครับ ระหว่างทางได้แวะถ่ายรูปที่วิหารไทลื้อด้วยครับ
เป็นวิหารเก่าแก่ที่อยู่คู่กับชุมชนนี่มานานแสนนานแล้ว
""เวลา 11:15 น."" เรามาถึงวัดพระปรางค์ที่เราอยากรู้ความจริงบางอย่างที่นี่นั่นก็คือ "ต้นดิ๊กเดียม" เป็นต้นไม้โบราณอายุเป็นร้อยๆปี ซึ่งมีความเชื่อที่ว่าต้นไม้ต้นนี้ถ้าเราเอามือลูบเบาจะรู้สึกได้ว่าต้นไม้มันจะขยับเหมือนมันมีความรู้สึก บางคนบอกว่าลูบๆไปต้นไม้มันสั่นทั้งต้นเลยนะครับ
เราได้ลองกันละ ส่วนใครที่มีโอกาสไปเที่ยวที่อำเภอปัวอย่าลืมลองไปพิสูจน์กันนะครับ เราขอเก็บไว้เป็นความลับส่วนตัวนะครับว่าสั่นหรือไม่สั่น ขณะที่เราอยู่ที่วัดเราเห็นชาวบ้านกำลังทำกิจกรรมทางศาสนาอยู่
และนั่นทำให้เรารู้ว่าวันนี้เป็นวัน "ลอยกระทง" ส่วนที่เห็นชาวบ้านกำลังทำอยู่นี้เป็นการทำพิธีสะเดาะเคราะห์โดยใช้ฟืนแทนจำนวนคนในบ้านพอเสร็จพิธีก็เผาท่อนฟืนนั้นทิ้งเสมือนสิ่งไม่ดีได้เผาไหม้ไปพร้อมกับฟืน เราสองคนนั่งพักผ่อนพลางคุยกับชาวบ้านที่มาที่วัด ทันใดนั้นมีป้าคนหนึ่งเอาอะไรสักอย่างมาให้เราลองชิม เราไม่รู้มันเรียกว่าอะไร
มันทำมาจาก ยอดชมพู่มะเหมี่ยว ผสมเกลือและน้ำตาล โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่กินยากและไม่กล้าลองของกินแปลกๆ แต่ครั้งนี้มันน่าลองเลยจัดสักหน่อย รสชาติก็เค็มๆ หวานๆ อร่อยดีครับ ได้ชิมคนละอันเราก็บอกลาคนที่นี่
แต่ก่อนกลับป้าก็เอามาให้เราอีกคนละอัน ผมนี่รีบหยิบเข้าปากทันทีเพราะส่วนหนึ่งมันช่วยแก้ง่วงให้ผมได้ เราสองคนรักที่จะศึกษาสิ่งใหม่ๆจากคนในชุมชน จากนั้นเรามุ่งหน้าไปยังที่พักที่เราจองไว้
""เวลา 12:30 น."" เราเดินทางมาถึงที่เราจะพักกันในคืนนี้นั่นก็คือ "โฮมสเตย์ตานงค์" เป็นที่พักที่อยู่กลางทุ่งนา ตั้งอยู่ตำบลสถาน อำเภอปัว
อย่างที่เราบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าช่วงที่เรามาเป็นช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วจึงเห็นแต่ท้องทุ่งที่ว่างเปล่า
และนี่ก็คือที่นอนของเราในคืนนี้ เราเก็บข้าวของ สัมภาระแล้วก็ออกไปหาข้าวกินกัน ซึ่งก็ออกไปไม่ไกลมากครับอยู่ในหมู่บ้านนี้แหละครับ พอกินเสร็จแล้วเราก็กลับมาพักผ่อนกันเนื่องจากเราเดินทางมาทั้งวันแล้วและรู้สึกเพลียมาก ขอตัวก่อนนะครับ
""เวลา 16:00 น."" นาฬิกาปลุกดังเตือน เราจึงลุกไปล้างหน้าล้างตาเพื่อเรียกความสดชื่นกลับมาและออกจากโฮมสเตย์ที่พักเพื่อไปไหว้สักการะ "พระธาตุจอมทอง" ที่อยู่บนเชิงเขาด้านหลังหมู่บ้านห่างจากที่เราพักประมาณ 1 กิโลเมตร
เราขึ้นมาถึงด้านบนของที่ตั้งพระธาตุ ถ้าดูจากภาพจะเห็นได้ว่าทั้ง "พระธาตุจอมทอง และ พระธาตุจอมแจ้ง" จะมีลักษณะที่เหมือนกันเนื่องจากชาวบ้านเชื่อว่าพระธาตุทั้งสององค์นี้เป็นพระธาตุพี่น้องกัน หลังจากไหว้สักการะพระธาตุกันจนเสร็จแล้วเราก็เดินทางเข้าไปในตลาดของหมู่บ้านเพื่อหาซื้อของกินสำหรับมื้อเย็นของเราในวันนี้พอได้ของกินแล้วเราตัดสินใจขับรถเลยไปที่ตัวเภอปัวเพื่อหาสถานที่ลอยกระทง เมื่อเราทราบแล้วว่าคนในพื้นที่ลอยกระทงกันที่ไหนเราจึงขับรถกลับที่พักเพื่อกินข้าวเย็นก่อนแล้วค่อยออกไปที่ตัวอำเภออีกครั้ง ขณะที่เรากำลังขับรถกลับไปที่โฮมสเตย์นั้นเราได้ขับรถสวนกับพี่เอ็กซ์ที่เป็นเจ้าของ "ขุนเขาธารารีสอร์ท" ที่เราไปพักตอนที่ไปเที่ยวอำเภอบ่อเกลือจึงได้แวะทักทายกันและพี่เอ็กซ์ก็อาสาจะพาเราไปลอยกระทงคืนนี้
""เวลา 18:15 น."" พี่เอ็กซ์ พี่ขวัญ & ลูกๆ มารับเราถึงหน้าโฮมสเตย์เลยครับ พวกพี่ๆเขาจะพาเราไปลอยกระทงกันที่ตัวอำเภอปัวครับ
นอกจากคืนนี้จะเป็นวันลอยกระทงแล้ว ยังเป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวงอีกด้วย แต่ที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือเป็นวันที่พระจันทร์อยู่ใกล้โลกมากที่สุดทำให้เราสามารถเห็นพระจันทร์ได้ชัดขึ้นกว่าเดิม 18 เท่าหรือที่เขาเรียกกันว่า "Super Full Moon"
ถ้าใครไม่ทันได้เห็นในครั้งนี้ก็ต้องรอไปอีกหลายปีกว่าจะได้เห็นอีกครั้ง หลังจากลอยกระทงเสร็จเราก็มาลอยโคมลอย(ยี่เป็ง)กันต่อครับ ถือว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์เอาสิ่งไม่ดีลอยไปกับโคมลอย(ยี่เป็ง)ด้วย
ที่อำเภอปัวได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ให้สามารถลอยได้นะครับแต่พลุไฟบางอย่างก็ไม่อนุญาตให้ขายหรือเล่นได้ พอเสร็จสิ้นภาระกิจทั้งลอยกระทงและปล่อยโคมลอย(ยี่เป็ง)แล้ว พี่เอ็กซ์ & พี่ขวัญ ก็พาเราไปนั่งเล่นกันที่สวนสาธารณะประจำอำเภอปัว
พวกเรานั่งดื่มเบียร์กันริมสระน้ำที่สวนสาธารณะกันอยู่พักใหญ่ๆเลยครับ ที่สวนสาธารณะก็มีชาวบ้านเข้ามาลอยกระทง ปล่อยโคมลอย(ยี่เป็ง) อย่างหนาตาพอสมควรกลับ ก่อนที่พวกเราจะย้ายกันไปนั่งดื่มกันต่อที่ร้านอาหาร
พวกเรานั่งดื่ม นั่งกิน กันอยู่ที่นี่จนถึงเวลาปิดของร้านและพี่เอ็กซ์ & พี่ขวัญ ก็พาเรามาส่งที่โฮมสเตย์และแยกย้ายกันไปนอนพักผ่อน ถือเป็นการร่ำลากันไปในตัวเพราะพรุ่งนี้เราต้องเดินทางเข้าตัวเมืองน่านส่วนพี่ๆทั้งสองเขาก็ต้องทำงานกัน สุดท้ายของค่ำคืนนี้ต้องขอขอบคุณ ขอบใจในมิตรภาพของพี่เอ็กซ์ & พี่ขวัญ ที่มอบให้เราทั้งสองคน ทั้งๆที่พวกเราไม่รู้จักกันมาก่อน เราสัญญาว่าจะรักษามิตรภาพนี้ให้ยั่งยืนและยืดยาวที่สุด ขอบคุณครับ ขอตัวไปนอนแล้วครับ 😴😪😫😴 Good Night !!!
""วันที่ 15 พฤศจิกายน 2559 เวลา 06:20 น."" เราตื่นมาดูพระอาทิตย์ที่หน้าห้องพักของเรา ซึ่งเต็มไปด้วยหมอก
และแล้วแสงแรกของวันใหม่ก็เริ่มส่องแสงทะลุเมฆหมอกให้เราได้รับความอบอุ่น
เรานั่งสัมผัสบรรยากาศตอนเช้า สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดให้เต็มที่ !!
"เวลา 07:30 น." เราเริ่มเก็บข้าวของสัมภาระลงกระเป๋าและผลัดกันอาบน้ำ เพราะเราจะต้องเดินทางกลับเข้าไปตัวจังหวัดน่านกันต่อ
"เวลา 09:00 น." เราทำการเช็คเอ้าท์และเดินทางออกจากโฮมสเตย์มุ่งหน้าสู่จุดเริ่มต้นของเราในทริปนี้
เราขับรถจาก "อำเภอปัว ถึง ตัวเมืองน่าน" ระยะทางประมาณ 60-65 กิโลเมตร ผ่านอำเภอท่าวังผา เส้นทางนี้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ครับเนื่องจากอยู่ในช่วงกำลังก่อสร้างและปรับปรุงพื้นผิวของถนน ทำให้การเดินทางกลับเข้าสู่ตัวเมืองล้าช้าไปพอสมควรครับ
""เวลา 10:30 น."" เราเดินทางมาถึงตัวเมืองน่านจนได้ครับ เรากลับไปที่ร้านเช่ามอร์เตอร์ไซค์กันก่อนเพื่อขอเข้าห้องน้ำและฝากข้าวของสัมภาระเราไว้ที่นี่ก่อนเนื่องจากภาระกิจของเราในทริปนี้ยังไม่เสร็จสิ้นเพราะยังเหลือสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ในตัวเมืองอีกที่เรายังไม่ได้ไปกัน แต่ก่อนอื่นเราขอเติมพลังกันก่อนดีกว่า เราจึงเดินข้ามฝั่งตรงข้ามจากร้านเช่ามอร์เตอร์ไซค์มากินก๋วยเตี๋ยว "ร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่หวาน" พอนั่งปุ๊บเราไม่รอช้าที่จัดการสั่งทันที
รสชาติอร่อยใช้ได้ครับ ใครมีโอกาสไปก็อย่าลืมไปลองชิมกันนะครับ
""เวลา 11:30 น."" หลังจากเราเติมพลังกันแล้วเราจึงออกไปเที่ยวกันต่อที่ "วัดภูมินทร์"
"วัดภูมินทร์" เป็นวัดที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองและอยู่คู่ชาวเมืองน่านมาตั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นแหล่งศึกษาอารยธรรมที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เรามาที่นี่เพื่อมาตามหา "ภาพกระซิบรักบรรลือโลก"
และแล้วเราก็เจอสิ่งที่เราตามหา ในวิหารที่วัดภูมินทร์ตามผนังจะมีภาพวาดสีเล่าเรื่องราวสมัยอดีตกาลบอกต่อถึงคนรุ่นหลัง ซึ่งภาพบนผนังนั้นจะเป็นวาดภาพต่อๆกันไป ต่อเนื่องกัน บางจุดอาจจะเลือนลางไปบ้างเนื่องจากผ่านกาลเวลามาเป็นหลายร้อยปีแล้ว
นี่ก็เป็นภาพวาดส่วนหนึ่งที่เราเก็บมาฝากกันครับ จากนั้นเราเดินไปต่อที่ร้านขายของที่ระลึกและนั่งพัก พลางคุยกันว่าเราควรไปหาเปิดโรงแรมถูกๆนอนพักผ่อนกันก่อนแล้วค่อยออกมาเที่ยวกันต่อ เพราะว่าตอนนี้ร่างกายของเราทั้งคู่อ่อนล้าเต็มทนแล้วเนื่องจากเราขับรถกันตลอด 3 วันที่ผ่านมา เราจึงขับรถเข้าไปในซอยใกล้ๆนี้ และเราก็เข้าเช็คอินที่ "โรงแรมเวียงภูมินทร์" เขาคิดเราที่ 400 บาทสามารถอยู่ได้จนถึง 6 โมงเย็น ได้กุญแจละไปนอนพักผ่อนกันดีกว่า
""เวลา 15:30 น."" เราตื่นขึ้นหลังจากได้นอนพักผ่อนไปพอสมควร เราจึงออกไปเที่ยวตามสถานที่ที่เหลือตามที่เราตั้งใจไว้ เริ่มไปกันเลย
เริ่มกันที่แรกกันที่ "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน" ตอนที่เราไปพิพิธภัณฑ์เป็นปรับปรุงและในรูปคืออุโมงค์ตนลีลาวดีที่ไม่ว่าใครๆที่มาเยี่ยมเยียนจังหวัดน่านต้องมาถ่ายรูปบริเวณนี้ จากนั้นเราไปกันต่อที่ "วัดพระธาตุช้างค้ำ" ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของพิพิธภัณฑ์ แค่เดินข้ามถนนก็ถึงแล้วครับ
พระธาตุที่อยู่ด้านหลังของวิหารมีช้างล้อมรอบนั่นทำให้ผมคิดถึง "วัดช้างล้อม" ที่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ขึ้นมาทันที น่าจะเป็นศิลปะในยุคเดียวกัน จากนั้นเราก็ไปกราบพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ในวิหารกันครับ
ไหว้พระขอพรก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯในคืนนี้ พอไหว้พระขอพรเสร็จแล้วเราก็เดินไปตรงหัวมุมถนนที่อยู่ด้านข้างพิพิธภัณฑ์ซึ่งตรงนั้นเป็นที่ตั้งของ "วัดหัวข่วง"
และนี่ก็เป็นสถานที่สุดท้ายของเราในทริปนี้
""เวลา 16:45 น."" เราปิดทริปอย่างเป็นทางการเราได้ทำตามแพลนที่เราวางไว้ตั้งแต่ต้นจนจบอาจจะมีเพิ่มเติมบ้างตามระหว่างทางที่เราเดินทางไปแต่ละสถานที่ จากนั้นเราเดินทางเอารถมอร์เตอร์ไซคที่เช่ามาไปคืนและกลับมาอาบน้ำที่โรงแรมก่อนเดินกลับไปที่สถานีขนส่ง
""เวลา 18:00 น."" เราเดินทางออกจากโรงแรมเพื่อไปขึ้นรถกลับกรุงเทพฯ ตอนเวลา 19:45 น. ระหว่างเดินทางกลับเราแวะซื้อขนมข้าวเกรียบปากหม้อหน้าเรือนจำจังหวัดน่านมากิน 1 ชุดถ้าใครมาอย่าลืมไปลองชิมดูครับอร่อยมาก คนรอคิวเยอะน่าจะเป็นร้านดังในย่านนี้ พอเดินผ่านตลาดเราก็ซื้อหมูปิ้งกับข้าวเหนียวมากินก่อนที่รถนะออก
""เวลา 19:45 น."" รถมาจอดเทียบที่ชานชาลาเราจึงเดินไปขึ้นรถและโบกมือลาเมืองน่านและนั่นหมายความว่าการเดินทางท่องเที่ยวของเราสิ้นสุดลงแล้วต้องกลับไปเจอกับความวุ่นวายที่กรุงเทพฯกันต่อ
ทุกๆครั้งที่เราได้เดินทางได้ท่องเที่ยวมันคือความสุขที่แท้จริง เคยถามตัวเองว่าจะหยุดเที่ยวเมื่อไหร่แต่มันก็หาคำตอบไม่ได้ว่าจะหยุดเมื่อไหร่ การได้มาจังหวัดน่านครังนี้เป็นครั้งแรกของเรา เราเจอเหตุการณ์ต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็น เกือบตกรถตั้งแต่วันแรกที่เดินทาง เต็นท์หัก อุปกรณ์เครื่องนอนไม่มีให้เช่า ถนนอันแสนหฤโหด จนสุดท้ายเราได้มาเจอมิตรภาพที่ดีจากคนในพื้นที่ได้เพื่อนใหม่ที่อำเภอปัว(พี่เอ็กซ์ & พี่ขวัญ) เราเดินทางครั้งนี้รวมระยะทางทั้งสิ้น 743.6 กิโลเมตรด้วย Honda PCX150 กับ 4 อุทยานแห่งชาติและ 4 อำเภอ........ปิดทริป
""เส้นทางการเดินทางของเราในทริปนี้""
""สิ่งที่ต้องเตรียมไปในทริปนี้""
- พาวเวอร์แบ็งสำคัญมากสำหรับชาวโซเชี่ยล
- เช็คอุปกรณ์ของเราให้อยู่ในความพร้อม
- เกิดปัญหาอย่าตกใจ
- กระเป๋าใบใหญ่ก็ดีจะได้ใส่ของได้เยอะ
- สัญญาณโทรศัพท์อ่อนเกือบทุกพื้นที่
- ต้องเป็นคนรักธรรมชาติ
- อย่าคาดหวังไว้สูงในการเดินทาง
- ถ้าจะเที่ยวแบบผม ต้องอึด ถึก และทน
- เลือกรถให้เหมาะกับการเดินทาง
""รูปภาพส่งท้ายประจำทริปนี้""
ทุกครั้งที่เราได้เที่ยวกัน ก็จะมีการเขียนบันทึกการเดินทางขึ้นเพื่อเก็บไว้เป็นความประทับใจ และเป็นแนวทางให้คนที่รักการเดินทางอย่างเรา รวมถึงเป็นการบอกให้รู้ว่าประเทศไทยเรามีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายให้เราออกไปค้นหา
***___***___ สวัสดี ___***___***