""สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เคารพทุกท่าน เที่ยวทั่วไทยไปได้ทุกเดือนกลับมาแล้วและได้เวลาเดินทางอีกครั้งแล้วครับ หลังจากทริปที่แล้วเราไปเที่ยวต่างประเทศกันมาครั้งนี้มาเที่ยวเมืองไทยของเราดีกว่าครับ ตั้งแต่กลับมาจาก สปป.ลาว ก็นั่งเลือกนั่งจิ้มอยู่หลายที่ว่าเราจะไปเที่ยวไหนดี ประจวบเหมาะกับช่วงที่เราคิดกันอยู่นั้นอยู่ในช่วงครบรอบ 26 ปีการจากไปของ "คุณสืบ นาคะเสถียร" พอดีเราจึงตัดสินใจที่จะเดินทางไปยัง "อุทยานแห่งชาติกุยบุรี" และอีกสาเหตุหนึ่งที่เราตัดสินใจเลือกที่จะไปที่นี่ก็เป็นเพราะว่าตัวผมเองมีความฝันว่ายากเห็นช้างป่าที่เดินอยู่ในป่าสักครั้ง ในเมื่อได้สถานที่ที่เราจะไปกันแล้ว เราก็เตรียมหาข้อมูลเบื้องต้นที่เกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติและการเดินทางรวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวบริเวณใกลเคียงด้วย ส่วนวันออกเดินทางนั้นก็เป็นวันที่ 25-26 กันยายน 2559 เป็นเวลา 2 วัน 1 คืนเนื่องจากไม่ได้ไกลมากและเราสองคนก็ไม่สามารถหยุดได้นานหลายวัน
""วันที่ 25 กันยายน 2559"" เวลาประมาณ 7:30 น. หลังจากผมเลิกงานกะดึกผมกลับมาถึงที่คอนโดเพื่อมาเก็บกระเป๋าและอุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็นในการเดินทางของเราในทริปนี้กันครับ ไปดูซิว่ามีอะไรบ้าง
อย่างที่เห็นตามภาพครับอาจจะดูน้อยไปหน่อยแต่ในกระเป๋าอ่ะเพียบเลยครับ
""เวลาประมาณ 8:15 น."" หลังจากอาบน้ำเสร็จนำของขึ้นรถเราก็คนก็เริ่มออกเดินทางไปยัง "จังหวัดประจวบคีรีขันธ์" กันเลยดีกว่าครับ การเดินทางครั้งนี้เราเดินทางโดยใช้เส้นทางถนนพระรามที่ 2 และถนนเพชรเกษมที่คนส่วนใหญ่ใช้เดินทางกันครับ ช่วงแรกความง่วงยังไม่ออกฤทธิ์ผมจึงเป็นคนขับรถก่อน ถนนเส้นพระรามที่ 2 ถนนค่อนข้างว่างแต่เต็มไปด้วยรถบรรทุกแต่อยากให้ทุกคนขับรถด้วยความระมัดระวังเนื่องจากวันที่ผมเดินทางและขณะขับรถอยู่นั้นได้มีถังน้ำพลาสติกหล่นมาจากรถบรรทุก 6 ล้อ(โชคดีที่เป็นถังพลาสติก)และกระทบด้านหน้ารถของเราโชคดีที่มันไม่กระเด็นสูงมากระทบที่กระจกด้านหน้ารถ ถ้าเกิดแบบนั้นขึ้นมาผมไม่อยากคิดเลยครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา จึงอยากให้ทุกคนขับรถอย่างมีสติครับ หลังจากผ่านเหตุการณ์ความมักง่ายของคนขับรถบรรทุกไปแล้วเราจึงแวะปั้มน้ำมันเพื่อล้างหน้าล้างตาและแวะเข้าห้องน้ำ ยืดเข้งยืดขา กันให้พอหายเมื่อยนิดหน่อยและก็ออกเดินทางกันต่อ ขณะที่เราขับรถออกจากปั้มเราสังเกตคนปั่นจักรยานกันเป็นกลุ่มๆ เราจึงสงสัยว่าพวกเขาปั่นจักรยานไปไหนกันจึงค่อยชะลอความเร็วจึงเห็นป้ายที่ติดอยู่ตรงท้ายจักรยาน "กรุงเทพฯ - นครศรีธรรมราช" และมีถัง ไม้เสียบเงินด้วยเราจึงได้รู้ว่าพวกเขากำลังปั่นจักรยานไปทอดผ้ากันที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เราสองคนจึงจอดรถข้างทางเพื่อจะทำบุญครับ
ระหว่างทางก็มีผู้ใจบุญจอดรถเพื่อทำบุญกันอยู่เป็นระยะๆ ผู้ที่ปั่นจักยานส่วนใหญ่นั้นอยู่ในช่วงวัยผู้ใหญ่ครับ ผมยอมรับน้ำใจและความแข็งแรงเลยครับ ถือว่าเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยระหว่างทริปนี้เลยก็ว่าได้ครับ ทำบุญกันแล้วจิตใจเบิกบานก็ขับรถกันต่อครับขับมาสักพักหนึ่งเราก็เดินมาถึงถนนเพชรเกษมและเข้าเขตของจังหวัดเพชรบุรีแล้ว จากนี้ก็คงอีกไปไกล(ในความคิดเรานะ) ช่วงที่ผมเลี้ยวเขาถนนเพชรเกษมนั้นได้มีการก่อสร้างถนนใหม่ทำให้ช่วงนี้รถติดพอสมควรครับ ใครจะไปวางแผนให้ดีครับเผื่อเวลารถติดช่วงนี้ไว้บ้างก็ดีครับ พอพ้นช่วงนี้ไปก็ขับสบายเหมือนเดิมครับพอถึง "อำเภอชะอำ" เราก็ได้แวะปั้มน้ำมันอีกครั้งเพื่อหาอะไรกินรองท้องก่อน จากตรงปั้มน้ำมันนี้ผมก็เปลี่ยนมือขับครับให้มาดามผมขับบ้างเพื่อผมจะได้หลับพักผ่อนบ้าง
""เวลา 11:00 น."" เราขับรถเดินทางมาถึงอำเภอปราณบุรี ระยะทางจากเขตอำเภอชะอำไปยังอุทยานแห่งชาติกุยบุรีก็ประมาณ 130-140 กิโลเมตรได้ครับ ช่วงที่เราขับรถผ่านก็จะเห็นมีการก่อสร้างถนนอยู่เป็นระยะๆครับ
""เวลา 11:45 น."" จากถนนเพชรเกษมเราเลี้ยวขวาตามป้ายอุทยานแห่งชาติกุยบุรีอีกประมาณ 30 กิโลเมตร เกือบเที่ยงแล้วเราก็เริ่มหิวข้าว น้ำมันรถก็ลดน้อยลงเราจึงขับรถดูป้ายอุทยานฯไปเรื่อยๆรวมถึงมองหาปั้มน้ำมันไปด้วย แต่ด้วยความสับสนของเราที่เห็นป้ายบอกทางระหว่าง "ดูช้างป่ากุยบุรีและอุทยานแห่งชาติกุยบรี" เราจึงตัดสินใจโทรไปยังที่ทำการอุทยานฯจึงได้คำตอบว่าจุดที่จะไปดูช้างกับที่ทำการอุทยานฯอยู่คนละที่กันทำให้เราถึงบางอ้อแต่ถึงยังไงก็แล้วแต่ยังไงเราก็ต้องเดินทางไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติอยู่แล้วเพื่อให้เจ้าหน้าที่ประทับตราอุทยานฯให้เราใน "พาสปอร์ตอุทยานแห่งชาติ" แต่ระหว่างทางที่เราจะไปที่ทำการอุทยานแห่งชาตินั้นเราได้แวะถ่ายรูปและสัมผัสบรรยากาศกันที่ "อ่างเก็บน้ำบ้านยางชุม" ซึ่งเป็นโครงการอ่างเก็บน้ำของในหลวงของเราที่มองเห็นความเดือดร้านในการใช้น้ำจึงได้สร้างอ่างเก็บบ้านน้ำยางชุมขึ้นมาเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนน้ำ เราขับรถขึ้นไปบนสันอ่างเก็บน้ำกันครับ
ลูกชายของเรากับบรรยากาศอ่างเก็บน้ำสวยน่าดูทั้งวิวทิวทัศน์และรถ
ไม่มีใครถ่ายรูปให้เราก็ต้องหามุมกล้องเองและหาจุดตั้งกล้องเองก็ได้เสาปูนบนสร้างสันอ่างเก็บน้ำนั่นแหละครับเป็นขาตั้งกล้องให้เรา ยืนถ่ายรูปเก็บบรรยากาศโดยรอบของอ่างเก็บน้ำไปเรื่อยๆครับ
อ่อๆ ลืมบอกไปครับภาพ 3 ภาพนี้ถ่ายจากกล้องมือถือนะครับ พอเหลือบไปมองไปมองเวลาที่นาฬิกาก็ปาเข้าไปเที่ยงกว่าๆแล้ว เราจึงออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังที่ทำการอุทยานฯเพื่อไปทำภาระกิจแรกให้สำเร็จ เส้นทางที่เดินทางไปยังที่ทำการอุทยานฯนั้นก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ครับ ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อเยอะแต่ก็เข้าใจได้ครับว่าไกลจากตัวเมืองการพัฒนาก็ทำได้ยากขึ้นกว่าปกติ ระหว่างทางก็จะผ่านหมู่บ้านต่างๆครับ
""เวลา 12:30 น."" เราเดินทางมาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติกุยบุรีจนได้ครับ เราจึงมุ่งหน้าไปหาเจ้าหน้าที่โดยทันทีครับนั่นก็คือการประทับตราของอุทยานแห่งชาติ
หลังจากที่พี่เจ้าหน้าที่ประทับตราให้เราแล้วพี่เขาก็แนะนำและอธิบายการเดินทางให้กับเรา ทำให้เราเข้าใจในการเดินทางที่จะไปยังจุดดูช้างของอุทยานฯง่ายขึ้นรวมถึงเวลาใจการเข้าไปชมช้างในป่า นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถของอุทยานฯเข้าไปชมช้างป่า กระทิง และสัตว์อื่นได้ ตั้งแต่เวลา 14:00 - 18:00 น. แต่รถรอบสุดท้ายที่ออกจากอุทยานฯไม่เกิน 17:30 น. นักท่องเที่ยวควรศึกษาข้อมูลเบื้องต้นมาก่อนจะได้ไม่เสียเที่ยว หลังจากได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่แล้วเราก็มุ่งหน้าไปยังจุดที่เราจะไปดูช้างกัน ยอมรับเลยครับว่ายิ่งใกล้ถึงยิ่งตื่นเต้น
""เวลา 13:30 น."" เราเดินทางมาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติกุยบุรีที่จะไปดูช้างกัน จอดรถนำเครื่องมือที่จำเป็นเข้าไปด้วย ก่อนอื่นไปซื้อตั๋วกันก่อนดีกว่า
ตอนแรกคิดว่าจะน้อยแต่พอมาถึงที่ขายตั๋วของอุทยานฯก็เห็นมีนักท่องเที่ยวหลายกลุ่ม ในภาพเป็นแค่นักท่องเที่ยวบางส่วนนะครับ ข้างนอกยังมีอีก 2-3 กลุ่มลองนับๆดูก็มีประมาณเกือบ 20 กว่าคนรวมไกด์ท้องถิ่นและคนขับรถด้วยก็ 25 คนเห็นจะได้ แต่ละกลุ่มที่มาด้วยกันก็จะต้องเหมารถไปเลย 1 คันพร้อมกับคนขับรถและไกด์ท้องถิ่น ซึ่งผมแยกค่าใช้จ่ายในการดูช้างครั้งนี้ไว้แบบนี้ครับ
-ค่ารถเข้าชมช้าง 850 บาท/คัน/กลุ่ม
-ค่าเข้าอุทยานคนละ 40 บาท/คน
-ค่ารถยนต์เข้าอุทยานคันละ 50 บาท
รวมค่าใช้จ่ายในการดูช้างของเราในทริปนี้อยู่ที่ประมาณ 980 บาท
พอได้ตั๋วแล้วพี่เขาจะแจ้งคิวให้เราทราบและแจ้งไปยังไกด์ที่รอเราอยู่ด้านนอกว่าเราได้คิวที่เท่าไหร่ เราได้คิวที่ 3 ครับ เมื่อทราบคิวทราบแล้วว่าไกด์คนไหนจะดูแลเราไกด์ก็จะเริ่มดูแลเราตั้งแต่ตรงนั้นเลยครับ
""เวลา 14:00 น."" ได้เวลาที่เราจะได้ออกไปผจญภัยตามหาช้างป่ากันแล้ว ไปกันเลย
เราและไกด์ก่อนขึ้นรถก็เก็บภาพความประทับใจเพื่อเก็บไว้ในความทรงจำ ไกด์ก็เป็นคนในพื้นที่นั่นแหละครับ เป็นคนในหมู่บ้านรวมไทย ในหมู่บ้านก็มีโฮมสเตย์ให้นักท่องเที่ยวได้พักกันด้วยนะครับ ถ้าเรารู้ก่อนหน้านีคงมาพักกันที่นี่แหละครับ
ที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นบ่อน้ำยาฆ่าเชื้อที่เราจะต้องเดินผ่านเข้าไปในพื้นที่ป่า ส่วนสาเหตุที่ต้องมีบ่อฆ่าเชื้อก่อนเข้าไปในป่านั้นอันเนื่องมาจากข่าวการตายโดยปริศนาของกระทิงที่นี่แหละครับ ซึ่งตายมากถึง 16 ตัวเมื่อ 2-3 ปีก่อนทำให้ทางอุทยานฯเข้มงวดเรื่องเชื้อโรคต่างๆซึ่งอาจจะติดมากับนักท่องเที่ยว เดินผ่านบ่อฆ่าเชื้อแล้วเราก็ไปขึ้นรถไปยังด้านในกันต่อครับ
ข้างหน้าเราเป็นคนที่ 1 และ 2 เราคันที่ 3 ครับ ในช่วงที่นั่งรถไปนั้นไกด์ก็จะอธิบายข้อมูลต่างที่เราควรรู้ให้เราทราบและข้อมูลหนึ่งที่เราทราบและทำให้เราซาบซึ้งนั่นก็คือ "เขตพื้นที่ป่าที่เรานั่งรถผ่านอยู่นี้เดิมทีเป็นพื้นที่ที่มีเจ้าของเข้ามาปลูกพืชและทำการเกษตรแต่ในหลวงทรงมองเห็นปัญหาการอยู่ระหว่างคนกับช้างจึงขอเวียนที่ดินคืนจากประชาชนผู้ถือครองที่ดินเพื่อให้เป็นพื้นที่ประมาณ 20,000 ไร่เศษเพื่อให้เป็นที่อยู่ของช้าง"
ในพื้นที่ของป่าก็จะมีจุดที่จะพานั่งท่องเที่ยวไปดูสัตว์กันแต่เรานั่งรถมาไม่นานเราก็ได้เห็นสิ่งที่เราตามหานั่นก็คือช้างป่าห่างจากที่เราจอดรถประมาณ 70-80 เมตรครับอยู่ในป่ากำลังกินหญ้ากันอยู่เป็นฝูงใหญ่เลยครับแต่เนื่องจากระยะมันไกลแต่มีต้นไม้และหญ้าขึ้นรกหนาทำให้เราไม่สามารถถ่ายรูปได้เลยได้ประกอบกันช้างไปเล่นน้ำและคลุกฝุ่นมาทำให้มองเห็นค่อนข้างยาก เราและกลุ่มอื่นๆแวะดูกันสักพักก็เดินทางไปกันต่อ นั่งรถมาอีกไม่ไกลความชัดเจนของเราก็เกิดบังเกิดขึ้นและใกล้กว่าเดิมมากๆ
ตรงนี้เราได้เห็นช้างถึง 3 ตัวและใกล้มากตัวแรกที่เห็นอยู่ด้านหน้เราเลยครับ(ภาพล่าง) ส่วนอีก 2 ตัวอยู่ด้านข้างเรา(ภาพบน)กำลังสนุกกับการกินหญ้าอยู่เราจึงได้ภาพช้าง 3 ตัวนี้มาฝาก ยิ่งเห็นยิ่งมีความสุขครับ เรามุ่งหน้ากันต่อครับจากจุดที่เราเห็นช้างล่าสุดเราก็เดินทางมาถึงจุดที่พักของเจ้าหน้าที่ของอุทยานฯเรียกว่าบ้าน 3 หลัง
เราสามารถมาพักที่นี่ได้มีบ้านพัก 2 หลัง หลังหนึ่งพักได้ 10 คนโดยประมาณแต่ถ้าใครชอบสังสรรค์และเสียงดังแนะนำว่าอย่ามาครับเพราะมันจะเป็นการรบกวนสัตว์ป่า เราไม่ได้จอดตรงนี้คิดว่าค่อยจอดขากลับเรามุ่งหน้าไปยังจุดต่อไปนั่นก็คือ
ตรงนี้ที่เห็นเป็นดินนั้นนะเจ้าหน้าที่เขาทำการไถพรวนดินเพื่อทำการโปรยเมล็ดของต้นหญ้าเพื่อเป็นอาหารสัตว์รวมถึงการการสร้างแอ่งน้ำจำลองไว้ให้พวกบรรดาสัตว์ป่าได้มากินกัน
เนื่องจากหน้าแห้งไม่มีให้สัตว์กินอาจจะทำให้สัตว์ล้มตายได้ หากน้ำแห้งเจ้าหน้าที่ก็จะบรรทุกน้ำมาเติมให้ ขับผ่านจากแอ่งน้ำไปเราก็จะเอาเขตป่าสนที่เต็มไปด้วยต้นสนตามบริเวณต้นไม้เราสามารถเห็นล่องลอยของช้างที่เอาลำตัวมาถูกับต้นไม้และก็จะเห็นห้างบนต้นไม้ที่เจ้าหน้าที่ทำไว้ส่องสัตว์
บริเวณนี้เจ้าหน้าที่จะทำการปลูกหญ้าทั้งหมดเลย จากตรงนี้ไปก็จะถึงจุดดูช้างดูกระทิงจุดสุดท้ายแล้วครับ
ถึงแล้วครับ....จอดรถจากตรงนี้ไกด์จะให้เราเดินทางถ่ายรูปเล่นบริเวณโดยรอบและรอดูสัตว์ด้วยครับ
ด้านหลังภาพเป็นทุ่งหญ้ากว้างและเป็นจุดที่กระทิงจะออกมากินหญ้ากันบริเวณนั้น ออกมาเป็นฝูงเต็มทุ่งหญ้าเลยนะครับแต่เราก็ต้องรอโอกาสที่สัตว์จะออกมากินหญ้า
บริเวณโดยรอบเรานะสังเกตเห็นรอยเท้าสัตว์เต็มไปหมด เราเดินถ่ายรูปเล่นกันสักพักพลางนั่งพักผ่อนไปด้วยครับ
นั่งรอแล้วรออีก รอไปเรื่อยๆกระทิงก็ยังไม่ออกมากินหญ้าให้เห็นสักกะที เราจึงเดินไปบอกไกด์ว่าเราต้องการกลับเนื่องจากเราต้องขับรถกลับไปพักที่หัวหินกันอีกอย่างระยะทางค่อนข้างไกลเกรงว่าจะมืดเสียก่อนเราจึงออกจากป่าเป็นคันแรก พอเราออกมาเป็นคันแรก คันที่ 2 และ 3 ก็ตามออกมาที่แท้ก็รอคนเปิดก่อนนี่เอง ฮ่าๆ
""เวลา 16:00 น."" เราเดินทางกลับมาที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ บ้าน 3 หลัง เราก็แวะดูภาพถ่ายที่เจ้าหน้าที่ไปตั้งกล้องอินฟาเรดไว้ในป่า ซึ่งมีสัตว์หลายชนิดมากที่สามารถจับภาพไว้ได้ไม่ว่าจะเป็น เก้ง , กวาง , หมี , กระทิง , ช้าง , จิ้งจอง , หมาใน , เสือดำ , นกนานาชนิด , เสือโคร่ง เป็นต้น ฯลฯ เราเดินดูบริเวณรอบๆ เราก็เดินมาเจอศาลเจ้าที่ประจำที่นี่รวมถึงศาลที่มีซากช้างอยู่ด้วย
เป็นศาลที่เก็บรวบรวมซากช้างที่เจ้าหน้าที่พบเห็นช้างตายอยู่ในป่าก็จะนำมาไว้ที่นี่ เสร็จจากตรงนี้เราก็เดินไปขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับไปยังอุทยานฯ ขณะที่เรากำลังจะขึ้นรถนั้นเราได้ยินเสียงวิทยุสื่อสารจากไกด์ว่าบริเวณบ้านสามหลังนี้มีช้างกำลังเดินกินหญ้าอยู่ใกล้ๆไกด์จึงบอกให้เราขึ้นรถเพื่อไปดูช้างตัวนั้น เราสองคนรีบวิ่งขึ้นรถโดยทันที
และแล้วเราก็ได้เจอช้างป่าที่กำลังกินหญ้าอยู่และเป็นการเจอช้างระยะใกล้มากๆ จากคำแนะนำของไกด์นั้นได้บอกกับเราว่า "ควรอยู่ห่างจากช้างสักประมาณ 50-100 เมตร" ครับอย่าใกล้มากไปกว่านี้เพราะอาจจะทำให้เกิดอันตราย
ช้างตัวนี้ที่เราเห็นกันเป็นเพศเมียครับและรู้สึกว่ามันจะอารมณ์ดีมากๆเดินอวดโฉมให้เราดูนานหลายนาทีเลยครับ ขนาดเราออกรถไปกันต่อมันยังเดินวนไปวนมาเลยครับ ดูมันมีความสุขเอามากๆ
สัตว์ที่อยู่ในป่าตามธรรมชาติดูมันช่างมีความสุขและดูสง่างามจริงๆ พอถ่ายรูปและดูช้างตัวนี้กันจนเสร็จสิ้นแล้วเราก็เดินทางกลับไปยังที่ทำการอุทยานฯกันต่อครับแต่ระหว่างเดินเราก็ดูบรรยากาศทั่วไปโดยรอบของบริเวณป่าทำเอาเราเพลินเหมือนกัน เรานั่งรถมาสักระยะเราก็มาถึงยังจุดดูสัตว์ป่าอีกที่หนึ่ง ซึ่งเราเห็นตั้งแต่ขาไปแล้วเพียงแต่เราไม่ได้จอดไกด์บอกแล้วว่าจะจอดตอนขากลับ
ตรงจุดนี้มีหอชมสัตว์ให้เราได้ขึ้นไปดูสัตว์ป่าได้จากตรงนั้นและไกด์ยังบอกเราอีกว่าจุดชมสัตว์ป่าโป่งสลัดไดเป็นจุดของความหวังในการนั่งรถชมสัตว์ป่าในหน้าแล้งของอุทยานแห่งชาติกุยบุรีเลยครับแทบจะเป็นจุดเดียวที่สัตว์ป่าจะออกมาหาอาหารกินเพราะตรงจุดนี้เป็นจุดที่มีดินโป่งด้วย
เราเดินดูรอบๆบริเวณเราก็จะเห็นรอยเท้าสัตว์ป่าเต็มไปหมด ลองคิดดูนะครับถ้าเราเห็นสัตว์ป่าลงมากินหญ้าเต็มท้องทุ่งหญ้าด้านหลังมันจะเป็นภาพที่สวยและมีความสุขมากแค่ไหน
ไปกันต่อดีกว่าครับจากจุดนี้ไปเราก็ไม่แวะไหนอีกแล้วครับเรานั่งรถยาวกลับไปยังที่ทำการอุทยานฯกันเลย นั่นก็หมายความว่าการผจญภัยของเราในวันนี้กำลังจะเสร็จสิ้นแล้ว ระหว่างทางนั่งรถกลับไกด์ก็ชวนเราคุยอธิบายความเป็นไปของอุทยานแห่งชาติกุยบุรีให้เราฟังพอสังเขปครับ ขณะที่เรานั่งรถกลับมาอยู่นั้น เราก็ได้ยินเสียงตนขับรถบอกเราว่าให้เราหันไปดูด้านซ้ายมือของเราทันใดในเองเราก็ได้พบกับ
ช้างป่าฝูงใหญ่มากจากสายตามีประมาณ 10-15 ตัวเห็นจะได้ซึ่งช้างฝูงนี้เป็นช้างฝูงเดียวกับที่พวกเราเห็นตั้งแต่ตอนที่เข้ามาตอนแรกแล้ว แต่ตอนนั้นเรามองเห็นไม่ค่อยชัดแต่ตอนนี้เต็มตาเลยครับ
และพวกมันก็กำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเราครับ คนขับรถจึงพาพวกเราเดินกลับกันต่อเพราะจากตรงนี้ก็อีกไม่ไกลเราก็ถึงที่ทำการอุทยานฯและระหว่างทางที่เรานั่งรถทั้งขาไปและขากลับนั้นเราจะสังเกตเห็นจอมปลวกที่มีลักษณะแบบนี้
สาเหตุที่จอมปลวกมีลักษณะเรียบแบบนี้ก็เป็นเพราะช้างมันเอาลำตัวและก้นของมันมาถูไปถูมา ที่เราเห็นแทบจะเป็นลักษณะแบบนี้ทุกที่เลยครับ
""เวลา 16:30 น."" เราเดินทางกลับมาถึงยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติและนั่นคือภาระกิจในการดูช้างป่าในครั้งนี้ถือว่าสำเร็จเป็นไปตามเป้าหมายที่เราตั้งใจเอาไว้ การเดินทางมาที่นี่ทำให้เราเกิดคำถามและข้อคิดต่างๆเกิดขึ้นในหัวสมองเรามากมาย อีกทั้งยังทำให้เราเกิดความรักและความหวงแหนธรรมชาติและสัตว์ป่ามากขึ้นอีกด้วย
"ข้อคิดที่เราสองคนได้จากการมาดูช้างที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรีครั้งนี้ทำให้รู้และเข้าใจความลำบากในการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่คอยพิทักษ์ทั้งสัตว์ป่าและผืนป่าให้มีความสมบูรณ์มากที่สุดและยังคอยเป็นยามรักษาความปลอดภัยให้กับสัตว์ป่าอีกด้วย ทำให้เรารักป่าและสัตว์ป่ามากยิ่งขึ้น"
พอเราเดินทางกลับมาถึงที่ทำการอุทยานฯเราก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปก่อนกลับครับ เดี๋ยวเขาจะว่าได้ว่ามาไม่ถึงครับ
นอกจากนี้เรายังมี พระบรมราโชวาสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าหัวและพระราชินี ของพวกเราที่ได้ทรงตรัสถึงช้างป่ากุยบุรีดังนี้
""เวลา 17:00 น."" หลังจากที่ถ่ายรูปแล้วเราสองคนก็ไปล้างหน้าล้างตาก่อนที่จะเดินทางกลับไปยังหัวหินกันต่อครับ ระหว่างทางกลับฝนก็ตกลงมานิดๆไม่ได้หนักมาก แต่เรายังมีอีกภาระกิจหนึ่งนั่นก็คือการตามหา "สับปะรดฉีกตา" ซึ่งเป็นสับปะรดพันธุ์พระราชทานจาก องค์สมเด็จพระเทพฯ ซึ่งสับปะรดพันธุ์นี้เป็นพันธุ์พิเศษที่ไม่ต้องเปลือกเปือกแค่เอามีดงัดตรงตาก็สามารถกินได้แล้วครับ เราถามเจ้าหน้าที่ที่อุทยานฯมาละว่าเราจะหาซื้อได้ที่ไหน พวกพี่ๆเขาก็บอกขาที่เราขับรถกลับหัวหินนี่แหละครับแต่เราต้องลุ้นครับว่าร้านค้าริมทางนั้นปิดหรือยังเพราะว่าตอนที่เราเดินทางกลับกันนั้นฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว เราขับมาเรื่อยๆจนถึงอำเภอปราณบุรี เราก็ได้เจอร้านขายสับปะรดเข้าจนได้
และนี่ก็คือ "สับปะรดฉีกตา" ที่เราตามหากันถือว่าทริปนี้สิ่งที่ผมตั้งใจเอาไว้บรรลุเป้าทั้งหมด เมื่อซื้อสับปะรดเสร็จแล้วเราก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังโรงแรมที่เราทำการจองเอาไว้ที่หัวหินครับ จากที่ทำการอุทยานฯ จนมาถึงโรงแรมเราใช้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที
""เวลา 18:30 น."" พอมาถึงโรงแรมเราก็รีบจอดรถและทำการเช็คอินโดยด่วนเพราะตัวผมเองตั้งแต่เลิกงานกะดึกยังไม่ได้นอนเลยครับ บอกเลยว่าง่วงมาก เราสองคนพักกันที่โรงเเรมโนโวเทลหัวหินครับ แต่เราไม่มีภาพห้องพักให้ดูนะเนื่องจากง่วงมากๆ พอถึงห้องเราก็เปิดแอร์และทิ้งตัวลงนอนเพื่อพักสายนาเดี๋ยวจะต้องออกไปหาข้าวกินและนั่งดื่มกันสักหน่อยส่วนรูปโรงแรมติดไว้ก่อนตอนเข้านะครับ
""เวลา 19:15 น."" ผมหลับไปประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ก็ตื่นล้างหน้าล้างตาเพื่อจะออกไปหาอะไรกินกันข้างนอก เดิมทีเราตั้งใจจะขับรถย้อนไปในตัวเมืองหัวหินอีกครั้งเพื่อจะไปหาอะไรกินที่ "ซิเคด้า" แต่เนื่องจากฝนตกเราจึงไปถามพนักงานต้อนรับของโรงแรมว่ามีสถานที่แนะนำให้เรามั้ย และน้องพนักงานก็แนะนำให้เราขับรถไปที่ร้านเรียบชายหาดชะอำร้านชื่อ "โอโซน" เราจึงไปกันที่นั่นอีกอย่างใกล้กว่าขับรถย้อนไปหัวหินเสียอีก
""เวลา 19:30 น."" เราเดินทางมาถึงร้าน บอกได้เลยครับว่าเงียบมากเนื่องจากเป็นวันอาทิตย์เพราะคนส่วนใหญ่เขามาเที่ยวกันวันศุกร์ - เสาร์ - และกลับอาทิตย์ วันที่เราไปเป็นวันอาทิตย์และเราเป็นโต๊ะที่ 2 ของร้านโอโซนครับ
ดูบรรยากาศโดยรอบครับ เงียบเหงาแค่ไหน ช่วงที่เรานั่งกินข้าวกันอยู่นั้นก็มีดนตรีโฟล์คซองให้ฟังก็เพลิดเพลินดีครับ ช่วงแรกๆของร้านก็บรรยากาศเบาๆอยู่หรอกครับแต่หลังจากนี้ไป ตั้งแต่ 3 ทุ่มเป็นต้นไปคนเริ่มมาเรื่อยๆ จากดนตรีโฟล์ซองก็เปลี่ยนเป็นดนตรีสดครับ
ตัวผมเองไม่เคยสนุกแบบนี้มานานละ ภาระกิจในการเที่ยวครั้งนี้ก็สำเร็จ ผมเลยปลดปล่อยมันซะเลย ที่ร้านโอโซนนี่นะครับ ผมบอกเลยว่าพนักที่นี่บริการดีมากเป็นกันเองสุดๆ แถมยังเต้นกับลูกค้าอีกด้วย เราสนุกกันสุดเหวี่ยงอยู่ที่ร้านโอโซนจึงถึงเวลาปิดของร้านจากนั้นเราก็เดินทางกลับที่พักกันครับ
""เวลา 01:00 น."" เราเดินทางกลับมาถึงโรงแรมที่พักพร้อมกับเบียร์อีก 2 ขวดซื้อมากินต่อที่ห้องแต่กลับไม่ได้กินเพราะเราสองคนหลับไปตอนไหนไม่รู้เรื่องเลย Good night !!!
""วันที่ 26 กันยายน 2559"" วันนี้แล้วซินะที่เราต้องเดินทางกลับไปผจญกับความวุ่นวายในเมืองหลวงกันต่อ ฮือๆ ไม่อยากกลับเลย
""เวลา 06:15 น."" ผมตื่นขึ้นเป็นคนแรก จากนั้นก็ไปล้างหน้าล้างตาก่อนที่จะไปนั่งที่ระเบียงของห้องพักเพื่อรับบรรกาศบริสุทธิ์ในยามเช้าซึ่งเราหาไม่ได้ในเมืองหลวงอย่างแน่นอน
พอถ่ายรูปเสร็จผมก็กลับไปนอนต่อครับเพราะว่าความเนื่อยล้าในร่างกายมันยังไม่จางหายไปสักที
""เวลา 10:00 น."" เราสองคนก็ตื่นและลุกจากที่นอนช่วยกันเก็บข้าวของเครื่องใช้ลงกระเป๋าและก็สลับกันไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวลงไปเช็คเอ้าท์ ครั้งแรกกะว่าจะตื่นเช้าเพื่อจะลงไปเล่นน้ำสักหน่อยแต่เมื่อคืนคงหนักไปหน่อยเลยตื่นไม่ไหว ฮ่าๆ
""12:00 น."" เราลงไปเช็คเอ้าท์และไปเดินเล่นริมชาดหาดที่อยู่ติดกับโรงแรมก่อนจะกลับครับ มาอยู่ใกล้ทะเลยังไม่โดนน้ำทะเลเลยรวมถึงถ่ายรูปบริเวณโดยรอบของโรงแรมตามที่ผมสัญญาไว้ ไปเดินเล่นกันเหอะครับ
ภาพถ่ายโรงแรมจากสระว่ายน้ำครับ สวยมั้ยละครับ เห็นน้ำแล้วอยากเล่นมากๆ
บรรยากาศริมหาดด้านหลังของโรงแรมครับ มีเรือประมงจอดเต็มไปหมดเลย พอถ่ายรูปด้านนอกจนเสร็จแล้วเราก็เดินกลับไปด้านในบริเวณสระน้ำเพื่อจะได้เดินทางกลับ แต่ระหว่างทางที่เราเดินกลับไปยังที่ลานจอดรถเราสองคนก็หามุมถ่ายภาพและบรรยากาศภายในโรงแรมไปเรื่อยๆด้วยครับ
เป็นยังไงบ้างครับบรรยากาศโดยรอบของโรงแรมโนโวเทลหัวหิน สำหรับเราสองคนแล้วถือว่าโอเคมากๆแต่เราจะต้องกลับมาอีกเพราะยังไม่ได้เล่นน้ำที่นี่เลย
""เวลา 12:30 น."" เราสองคนขับรถออกจากโรงแรมและมุ่งหน้าไปหาข้าวกินกันที่ชายหาดชะอำ ครั้งแรกก็ Search หาร้านดังในย่านชายหาดชะอำเราก็ขับเรียบชายหาดชะอำไปเรื่อยๆ ตาก็มองตามเตียงผ้าใบที่อยู่ตามชายหาด เห็นผู้คนนั่งกินอยู่เราสองคนจึงเปลี่ยนใจนั่งกินกันที่ร้านริมหาดตรงเตียงผ้าใบนี่แหละครับ
พอเลือกที่นั่งได้แล้วเราสองคนก็ไม่รอช้าจัดการสั่งอาหารกันเลยครับ เราสั่งไปทั้งหมด 4 อย่างก็จะมี ปูนึ่ง , ส้มตำปูม้า , ปลาหมึกย่าง , แล้วก็ข้าวผัดหมู พอสั่งเสร็จก็ต้องนั่งรอ ระหว่างที่นั่งรอก็จะมีพ่อค้าแม่ขายเดินขายของไปมาไม่ขาดสายเราก็มีเรียกซื้อบ้างเป็นบางเจ้าเพราะอุดหนุนหมดคงไม่ไหว เวลาผ่านไปสักระยะอาหารที่เราสั่งก็เริ่มทยอยมาจนครบครับ
นี่ก็คือหน้าตาอาหารมื้อกลางวันของเราสองคนในวันนี้ พอได้มาสั่งที่หาดชะอำมันก็ทำให้เรานึกถึงตอนวัยเด็กเพราะนี่เป็นทะเลที่แรกที่เราได้มาและก็มาบ่อยมากที่สุดแต่มันก็นานมาแล้วที่ไม่ได้มาที่นี่ เรานั่งกินอาหารกลางวันกันไปคุยกันไปพลางดูผู้คนเล่นน้ำทะเล , ขี่ม้า , เล่นเรือบันนาน่าโบ๊ท
""เวลา 13:45 น."" เรากินอาหารกลางวันเสร็จเราสองคนก็มุ่งหน้าไปกันต่อที่ "อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานหรือเขื่อนแก่งกระจาน" ระยะทางจากหาดชะอำไปยังอุทยานนั้นประมาณ 50 กิโลเมตรในเมื่อมากันแล้วก็ต้องแวะกันหน่อยเอาให้คุ้มค่ากับวันหยุดอันน้อยนิดของเรา ระหว่างที่ขับรถมาที่แก่งกระจานก็จะมีฝนตกเป็นช่วงๆครับ เราใช้เวลาประมาณเกือบ 1 ชั่วโมงเราก็มาถึง อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน"
เราถ่ายรูปด้านบนสันเขื่อนกันแป๊บหนึ่งก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังที่ทำการของอุทยานฯเพื่อนำสมุดไปประทับตราและก็เดินเล่น อ่านข้อมูลของอุทยานฯต่างที่เราสนใจก่อนที่เราจะเดินทางกลับกัน
ระหว่างที่เดินเล่นบริเวณรอบๆที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวผมดันมาสะดุดตากับไม้ท่อนนี้ นี่เป็นไม้มะค่าโมงซึ่งต้นใหญ่มากๆ ครั้งแรกผมคิดว่าเป็นปูนเสียอีก ถูกนำออกมาจากป่าเมื่อปี 2524 ครับจากบริษัทที่ได้สัมปทานป่าไม้ในยุคนั้น
"เวลา 16:15 น."" เราเดินทางออกจากอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ ถือว่าทริปนี้เสร็จสิ้นสมบูรณ์และเป็นอะไรที่เราถือว่าคุ้มค่าที่สุดทริปหนึ่งที่ออกเดินทาง
""เวลา 19:00 น."" เราเดินทางกับมาถึงคอนโดที่เราพักแล้วครับ เอาของขึ้นมาเก็บและนำกับข้าวที่ห่อมาจากหาดชะอำออกมาอุ่นกันกิน ช่วงขากลับเราแวะซื้อไก่ต้มน้ำปลามาด้วยอร่อยมากๆ จากนั้นก็พักผ่อน นอนเพื่อเตรียมตัวลุยงานกันต่อ
""สิ่งที่ต้องเตรียมตัวเตรียมใจในการไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติกุยบุรี
- สอบถามจากเจ้าหน้าที่ให้แน่นอน
- ที่ทำการอุทยานแห่งชาติกุยบุรีมี 2 จุดคือจุดที่ดูช้างกับจุดที่ทำการ
- สัตว์ไม่ได้ออกมาให้เราเห็นทุกวัน
- เส้นทางไม่ได้ราบเรียบ
- ต้องเป็นคนที่รักเเละเข้าใจธรรมชาติ
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด
- เวลาเจอช้างอย่าส่งเสียงดัง
- ห้ามตดเพราะช้างเป็นสัตว์จมูกดีมากๆ
- สัตว์ในป่าไม่เหมือนในสวนสัตว์
- ห้ามทิ้งขยะโดยเด็ดขาด
**รูปภาพส่งท้ายในทริปนี้**
ทุกครั้งที่เราได้เที่ยวได้เดินทางมันคือการได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ และยังเป็นการช่วยส่งเสริมการท่องเที่ววให้กับประเทศเราอีกด้วย หวังว่าบันทึกการเดินทางของผมที่เขียนแต่ละครั้งจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยกับผู้รักการเดินทางเหมือนกับเรา แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้าครับ
**สวัสดีครับ**