1. สปป. ลาว ยังมีความเป็นธรรมชาติอยู่และผมก็หลงรักธรรมชาติ
2. ไปพิสูจน์ตามรีวิวที่เคยอ่าน "เที่ยวลาว 2 คืน 3 วันด้วยงบ 3,000 บาท" (แม่งมึงแดกอะไรกัน)
3. ไปยลโฉมสาวลาว
หลักๆที่อยากไปก็มีประมาณนี้แหละครับ ตามแผนของเรา เราจะไปเที่ยวกันในระหว่างวันที่ 13-17 สิงหาคม 2559 วันที่ผมเริ่มเขียน Blog นี้เขียนก่อนเดินทาง 5 วันอยู่ในช่วงเตรียมการซื้อตั๋วรถทัวร์และเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ศึกษาข้อมูลให้รู้บ้างดีกว่าไปแล้วไม่รู้อะไรเลย 👀💁🎶👌
""วันที่ 10 สิงหาคม 2559"" ก่อนออกเดินทาง 3 วัน หลังจากเลิกงานจากกะดึกผมก็ไปทำการจองตั๋วรถทัวร์สำหรับการเดินทางครั้งนี้เราเลือกใช้บริการของบริษัท "นครชัยแอร์" รถออกจากสถานีขนส่งหมอชิตเวลา 21:55 น.และกำหนดถึงสถานีปลายทางที่จังหวัดอุดรธานีเวลาประมาณ 05:30 น.
ภาระกิจการเดินทางเรียบร้อยไปอีก 1 อย่าง ค่ารถทัวร์สำหรับการเดินทางครั้งนี้ 2 ใบอยู่ที่ราคา 908 บาท
""วันที่ 12 สิงหาคม 2559"" ก่อนออกเดินทางเพียงแค่ 1 วันเท่านั้นเริ่มงวดเข้าถึงวันที่จะเดินทางเราก็เริ่มเก็บสัมภาระบางส่วนที่จะนำไปด้วยแล้ว เสื้อผ้า ยารักษาโรค และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกค์ที่จำเป็นและที่ขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือกล้องถ่ายรูป เพราะเราจะแยกการสื่อสารระหว่าง Smart Phone และ การถ่ายรูปออกจากกัน
""วันที่ 13 สิงหาคม 2559"" และแล้ววันที่เราจะต้องเดินทางก็มาถึงเสียที จะได้เปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับชีวิตก็กลับมาอีกครั้ง อุปกรณ์พร้อมแล้ว
ของใช้ที่นำไปก็มีเท่าที่จำเป็นเท่านั้นแต่ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ "เงิน" ลองนึกไปนึกมาก็นานมากแล้วนะที่ไม่ได้นั่งรถทัวร์ไปไหนตอนกลางคืนมันทำให้ดูเหมือนชีวิตวัยรุ่นกลับมาอีกครั้ง ไปกันเถอะได้เวลาเดินทางไปหมอชิตกันแล้ว เราเดินทางมาถึงสถานีขนส่งหมอชิตตอนเวลาประมาณ 20:30 น. พอมาถึงก็เดินไปอะไรกินรองท้องเอาไว้ก่อนเพราะการเดินทางครั้งนี้ยังอีกยาวไกล เวลาผ่านไปสักระยะพอหันมาดูนาฬิกาเห็นเวลาแล้วเราจึงมุ่งหน้าไปยังชานชลาที่จอดรถกันครับ
ไม่ได้ขึ้นซะนานเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันแฮะ ขณะนี้รถกำลังเคลื่อนตัวเพื่อมุ่งหน้าสู่จุดหมายของเราในทริปนี้ ไม่ใช่จุดหมายปลายทางซิ แค่ครึ่งทางเองนั่นก็คือ "จังหวัดอุดรธานี" สำหรับจังหวัดนี้ผมยังไม่เคยเดินทางไปมาก่อนซะด้วย เจอกันพรุ่งนี้เช้าครับ
""วันที่ 14 สิงหาคม 2559 เวลา 05:45 น."" เราเดินทางมาถึงจังหวัดอุดรธานีขอขอบคุณคนขับรถที่พาเรามาถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพครับ พอรถจอเทียบท่าเราก็ไม่รอช้าที่จะเดินลงจากรถเพื่อจะไปซื้อตั๋วรถทัวร์ที่จะเดินทางกันต่อจาก จังอุดรธานีมุ่งหน้าสู่วังเวียงกันเลยแต่สิ่งที่เราพบเจอในช่องขายตั๋วรถทัวร์นั้นเล่นทำเอาเราสองคนถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง
เป็นยังไงละครับอึ้งมั้ย !!!! แบบนี้ ตอนแรกคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงดีแต่ถ้าเต็มก็ต้องไปลงที่เวียงจันทร์ก่อนแต่ด้วยความสับสนระหว่างป้ายด้านบนที่ให้ไปติดต่อซื้อตั๋วที่สำนักงาน กับ ป้ายด้านล่างที่บอกว่าเต็มมันขัดแย้งกันเราจึงตัดสินใจโทรไปที่สำนักงานขายตั๋วของ บขส. และคำตอบที่เราได้รับคือ "ป้ายที่บอกตั๋วเต็มเป็นของเมื่อวาน" เราสองคนถึงกับโล่งอกกันเลยทีเดียว พอเดินไปถึงสำนักงานพี่เขาก็รู้เลยว่าเราจะไปไหน ไม่รู้ได้ไงก็เพิ่งโทรถามเมื่อกี้ พี่เขาจะขอดู Passport ด้วยนะครับตอนที่เราซื้อตั๋วแล้วก็จะอธิบายให้เราทราบรายละเอียดพอสังเขปครับ
ได้มาแล้วตั๋วรถสำหรับราคาก็ตามภาพด้านบนเลยนะครับผม พอได้ตั๋วมาแล้วสิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ก็คือรอเพราะรถกว่าจะออกก็ตั้ง 8 โมงครึ่งโน่น นั่งรอรถไปนานเข้าไอ้เราก็เริ่มเบื่อก็เลยชวนกันออกไปเดินเล่นบริเวณรอบๆตัวเมืองอุดรกันและในเมื่อมาในตัวเมืองแล้วแหล่งปากท้องของคนที่นี่ก็หนีไม่พ้นตลาดสด อีกอย่างที่เราคิดกันก็น่าจะพอมีของอะไรให้เราหากินรองท้องกันไปก่อนเพราะเราไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางของเราในทริปนี้ ไปเเดินเที่ยวตลาดสดกันต่อดีกว่า
พอมาถึงก็สมชื่อของคำว่าตลาดสดจริงๆมีแต่ของสดๆทั้งนั้นเลย แต่ก็พอจะมีร้านขายไก่ย่าง ข้าวจี่ อยู่บ้าง อย่างอื่นแทบมองไม่เห็น อาจจะเป็นเพราะเป็นตลาดรวมส่งของสดก็เป็นไปได้
เราเดินไป เดินมา สักพักก็เดินออกกลับมายังสถานีขนส่งของจังหวัดกันเพื่อมานั่งรอรถกันต่อครับ แต่ระหว่างทางเราก็แวะถ่ายรูปไปเรื่อยๆครับ
และนี่ก็เป็นภาพถ่ายระหว่างทางที่เราเดินเล่นรอบๆตัวเมืองจังหวัดอุดรธานี พอเดินเล่นมากร่างกายเผาผลาญพลังไปมากมันก็ไม่แปลกที่คนเราจะเกิดอาการหิวแล้วกระหายเป็นธรรมดา พอเราเห็นร้านขายเส้นเปียกก็เลยแวะกินกันเลยครับ มาดูหน้าตาอาหารเช้าของเรากันดีกว่า
เป็นยังไงครับหน้าตาอาหารดูหน้ากินมั้ย ขอเวลาเติมพลังให้ร่างกายก่อนนะก่อนที่จะไปนั่งรอรถกันต่อ อั้มๆ
""ขณะนี้เวลา 08:30 น."" ได้เวลาล้อหมุนและเวลาเมื่อยตูดกลับมาอีกครั้ง
เราใช้บริการรถ บขส. เส้นทาง อุดรธานี ➡ หนองคาย ➡ วังเวียง กันครับ มาเคยดูและลุ้นกันว่าจากนี้เป็นไปเราจะใช้เวลาเดินทางกันกี่ชั่วโมง ในระหว่างทางที่นั่งรถอยู่นั้นเจ้าหน้าที่ประจำรถของ บขส. ก็จะนำเอกสารมาให้เรานั่งกรอกเป็นเอกสารใบผ่านแดนเข้าประเทศลาว ถ้าใครเคยเดินทางต่างประเทศบ่อยหรือว่าทำงานเกี่ยวกับด้านนี้ก็จะพอคุ้นหน้ากันอยู่บ้างครับ
ให้เขียนเรายินดีเขียนให้ด้วยความเต็มใจครับ แต่เขียนในขณะที่รถวิ่งเนี่ยมันลำบากอ่ะ เขียนต่อก่อน นั่งรถไปประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งเราก็เดินทางมาถึงด่านข้ามพรมแดนจังหวัดหนองคาย จากจุดนี้เราต้องเดินเข้าไปตรวจหนังสือเดินทางตามขั้นตอนครับ ส่วนรถก็จะไปจอดรอเราอยู่ด้านใน แต่ละคนใช้เวลาไม่นานสักเท่าไหร่แต่ถ้าคนเยอะๆน่าจะนานพอสมควร
แออบถ่ายรูประหว่างเข้าแถวตรวจหนังสือเดินทางครับ พอถ่ายรูปเสร็จเพิ่งเหลือบไปเห็นป้ายห้ามถ่าย เวรกรรม !!!! ช่วงที่ผมมาคนน้อยใช้เวลาไม่มากซักเท่าไหร่ทุกคนก็มาพร้อมกันที่รถแล้วเดินทางกันต่อเลย หลังจากนั้นเราก็นั่งรถออกมายังอีกหนึ่งด่านซึ่งเป็นด่านตรวจสอบ Passport และประทับตรารวมถึงเราต้องซื้อบัตรผ่านแดนจากตรงจุดนี้ด้วย
ตอนนี้เรากำลังเข้าแถวซื้อบัตรผ่านแดนอยู่ครับราคาคนละ 55 บาทลักษณะเป็นเหมือนบัตรรถไฟฟ้าบ้านเราครับใช้สอดตรงช่องแล้วที่กั้นจะเปิด รถทัวร์ก็จอดรอเราอยู่ด้านหน้าเหมือนเดิม ทีนี้ละครับได้นั่งกันยาวละครับ อ้าวไปกันต่อ
ช่วงแรกของการเดินทาง แรงยังมี พลังเรายังเหลือ ก็สนุกกันตามประสาคนมาเที่ยว ในระหว่างทางเราก็จะผ่านบ้านช่องห้องฮับของชาวลาวที่เรียงรายอยู่ริมถนนหลังเล็กบ้าง หลังใหญ่บ้างตามกำลังฐานะครับ
ส่วนอันนี้น่าจะเป็นสถานที่ทางราชการครับ เพราะดูโอ่อ่ากว้างใหญ่ นั่งรถมาก็นานผ่านสมควรละหันไปดูนาฬิกาอ้าวนี่ก็ปาไปเที่ยงแล้วนั่งไปอีกสักพักรถทัวร์ก็มาจอดยังจุดพักรถซึ่งเป็นจุดเดียวที่รถจะจอดให้พักให้หาอะไรกินหรือซื้อของได้ที่นี่ที่เดียวระหว่างเดินรถ ร้านอาหารที่เราแวะชื่อ "ร้านอาหารไชโย" ที่นี่มีของขายครบเกือบทุกอย่างครับ อ่อๆ เราสามารถแลกเงินได้ที่นี่ด้วยนะ หรือจะไปแลกที่วังเวียงเลยก็ได้ครับ ลงพักยืดเข้งยืดขาสักหน่อย
นี่เป็นวิวบริเวณรอบๆของจุดพักรถครับ พี่คนขับรถเขาจะให้เราใช้เวลาพักผ่อนตรงนี้ประมาณ 30 นาทีจากนั้นค่อยเดินทางกันต่อครับ พี่คนขับรถบอกว่าทางจากนี้จะเป็นทางขึ้นภูเขาสะส่วนใหญ่และช่วงที่ผมเดินทางฝนก็ตกตลอดทั้งวันเลยตั้งแต่เข้าเขต สปป.ลาว ใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 2 ชั่วโมงก็จะถึง "วังเวียง" งงมั้ยว่าทำไมผมถึงเขียนบันทึกการเดินทางของได้ ก็เพราะว่าผมซื้อซิมของ สปป.ลาว ใช้ครับ ฆ่าเวลาระหว่างนั่งอยู่บนรถครับ
ซิมการ์ดของ สปป.ลาวครับ ราคาอยู่ที่ 109 บาทไทยลงทะเบียนใช้ได้ 5 วัน แนะนำให้พี่เจ้าของร้านทำให้นะครับเพราะถ้าทำไม่เป็นและทำตามบัตรก็จะใช้ได้แค่วันเดียวแล้วก็ต้องซื้อบัตรเติมเงินเพิ่ม ซิมนี้เป็นของบริษัท "Laos Telecom"
""เวลา 15:34 น."" รถทัวร์ บขส. ที่เราโดยสารมาจากจังหวัดอุดรธานีได้เดินมถึงยัง "เมืองวังเวียง" จนได้หลังจากนั่งยาวกันนานถึง 7 ชั่วโมง เตรียมสัมภาระลงจากรถและมุ่งหน้าไปยังในเมืองกันต่อเลยดีกว่าครับเราเหนื่อยกันมากอยากล้มตัวลงนอนมาก ตอนเข้าเมืองไม่ต้องห่วงนะครับว่าจะต้องเดินกันเหนื่อยเพราะที่สถานีขนส่งมีรถสองแถวมาคอยให้บริการครับเพียงแค่บอกกับคนขับรถว่าจะไปไหนหรือว่าพักที่ไหนเขาก็จะไปส่งให้ถึงที่เลยครับไม่เสียค่าบริการครับย้ำนะครับว่า "ฟรี"
นี่คือผู้โดยสารที่ร่วมทางมากลับเราในวันนี้มี ชาวมาเลเซีย 2 คน ชาวเกาหลี 2 คน ที่เหลือคนไทยทั้งคัน เอาจริงๆแล้วถ้าเดินมาก็ไม่ไกลครับแต่มีของฟรีก็ใช้บรการสักหน่อย ทั้งคันเขามีที่พักกันหมดยกเว้นเรา 2 คนที่ยังไม่มีที่พักในการเดินทางมาที่นี่ ทำไงได้ชีวิตนี้มันต้องมีสีสันสักหน่อย ไปๆเดินหาห้องพักกันดีกว่า อ่อๆผมลืมบอกที่นี่ ณ ตอนนี้เดือนนี้ที่ผมมาถึงที่นี่ฝนกำลังตกเลยวันนี้ก็เช่นกันก็คงต้องเดินฝ่าฝนหาห้องกันไป แต่ก่อนออกเดินหาห้องพักผมถามทางเด็กน้อยที่ร้านของซึ่งน้องเขาก็แนะนำผมได้ดีมากครับ
ดูสภาพถนนในเมืองวังเวียงเอาแล้วกันครับ เละเทะแค่ไหนเราก็ไม่ท้อเดินหาห้องพักกันต่อไปตามกำลังทรัพย์ที่เราพึงจะมีมาในทริปนี้ เราเดินตามทางที่น้องร้านขายของบอกเราและเดินเรียบริมแม่น้ำมาเรื่อยๆสอบถามราคาแต่ละที่และเปรียบเทียบราคากันดูว่าที่ไหนเหมาะที่จะเป็นที่พักสำหรับเรา เราก็ยังไม่ตัดสินใจนะตรงนั้นและตัดใจที่จะเดินต่อไปเรื่อยและยืนหยุดอยู่จะเกือบจะสุดถนนแล้ว ด้วยกริยาท่าทาง + กับอาการที่แสดงถึงความอยากได้ห้องพัก ทันใดนั้นก็มีฝรั่งคนหนึ่งถามเราว่า
ฝรั่งคนนั้น : กำลังหาที่พักอยู่เหรอ ?
เราสองคน : ใช่แล้ว
ฝรั่งคนนั้น : ฉันมีที่พักนะ ราคา 100,000 กีบสนใจมั้ยละ (เงินได้ 421 บาทโดยประมาณ)
เราสองคน : สนใจซิ....ขอดูห้องได้มั้ย ?
ฝรั่งคนนั้น : ตามฉันมาเลย
พอเราดูห้องพักเสร็จก็ตัดสินใจพักกันที่นี่เลย เจ้าของชื่อ Steve เราตกลงพักกันที่นี่ก่อน 1 คืนที่เหลือค่อยว่ากันใหม่ ในห้องพักมี 2 เตียง , มี WiFi , ทีวี , พัดลม แค่นี้สำหรับเรามันก็คุ้มแล้วหล่ะ เมื่อได้ห้องพักเราก็ทำการจัดข้าวของเครื่องใช้เข้าที่ ชาร์จแบตเตอรี่มือถือกันก่อน รอก่อนนะเดี๋ยวเราจะพาไปเดินเที่ยวชมตัวเมืองวังเวียงกันครับ ผ่านไปสักพักเราก็เดินออกจากที่พักเพื่อเดินเที่ยวชมตัวเมือง , หาของกิน , ซื้อแพ็คเก็จทัวร์สำหรับวันพรุ่งนี้ แต่ก่อนอื่นเราต้องหาซื้อร่มก่อนเพราะจนป่านนี้ฝนยังไม่หยุดเลย ฝนตกไม่แรงแต่หนาเม็ดมาก
นี่เป็นภาพบรรยากาศบางส่วนที่วังเวียงที่เราเดินเล่นและหามุมถ่ายภาพไปเรื่อยๆ เจอมุมไหนถูกใจก็แวะระหว่างทางที่เราเดินถ่ายรูปเราก็แวะถามราคา One Day Tour ไปด้วยเพราะเราคิดกันว่าถ้าเช่ารถมอร์ไซค์ขับไปเองอาจจะทำให้ค่าใช้จ่ายบานปลายดังนั้นการซื้อทัวร์น่าจะเป็นการจำกัดค่าใช้จ่ายของเราได้พอสมควรเราไปถามทั้งหมด 3 ร้านแต่ละร้นก็มีราคาที่แตกต่างกันแต่เรามีร้านที่จะซื้อทัวร์ไว้ในใจแล้วหล่ะแต่ยังไม่ซื้อขอไปให้ของกินกันก่อนดีกว่าเพราะนี่ก็เย็นมากล่ะเรายังไม่ได้กินอะไรที่มันอิ่มท้องเลยของกินก็มีให้เลือกกินเยอะแยะมากมายและเราก็เลือกกินกันร้านไก่ย่าง
เป็นยังไงละแต่ละอย่างน่ากินทั้งนั้นเลย ครั้งแรกว่าจะซื้อกับไปกินกันที่ Guesthouse แต่อุปกรณ์เราไม่พร้อมเลยนั่งกินกันที่ร้านเลยจะดีกว่า
ที่สั่งมาเนี่ยเรากินกันแค่สองคนนะครับ ดูจากอาหารก็รู้เลยว่าหิวผสมกับความอยากด้วยก็เลยเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละครับแต่สุดท้ายเราก็กินกันไม่หมดจึงให้ทางร้านห่อใส่ถุงเพื่อกลับมานั่งกินกันต่อที่ห้องพัก ในเมื่อของคาวลงคอแล้วก็ต้องต่อด้วยของหวานกันซิครับอย่าช้าของชอบอยู่แล้ว
ที่ในรูปนั่นนะไม่ใช่แผงขายล็อตเตอร์รี่แต่อย่างใดแต่เป็นร้านขาย โรตี , แซนด์วิช , เบอร์เกอร์ พวกนี้อาจจะเป็นอาหารหลักของคนอื่นแต่สำหรับผมมันคือขนมหวาน ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 10,000 - 35,000 กีบ (43 - 155 บาท) เราไปช่วยอุดหนุนร้านป้าที่เราถามทางตอนที่เดินหาห้องพักถือว่าเป็นการตอบแทนป้าเขาหน่อยครับ ซื้อเสร็จก็เดินไปร้านขายทัวร์ที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม
เลือกแพ็คเก็จเสร็จสรรพก็ทำงานชำระเงินราคาตกอยู่ที่คนละ 130,000 กีบ (ราคา 565 บาท/คน) สำหรับแพ็คเก็จทัวร์ของเราในวันพรุ่งนี้ก็มี ถ้ำช้าง , ถ้ำน้ำ , พายเรือคายัค และปิดท้ายกันที่ บลูลากูน ในเมื่อได้สิ่งที่ต้องการครบแล้วก็ซื้อเบียร์กลับมานั่งดื่มกันต่อที่ห้องอีกสักหน่อยก่อนที่จะพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวไปเที่ยวในวันพรุ่งนี้ครับ ฝันดีครับ
""วันที่ 15 สิงหาคม 2559"" วันนี้เราตื่นกันตั้งแต่ 6 โมงเช้าสาเหตุที่ตื่นเช้าก็เพราะว่า อยากสัมผัสบรรยากาศยามเช้าของวังเวียงและวันนี้ก็เหมือนดั่งเช่นทุกๆวันที่ผ่านมาก็คือฝนยังคงตกอยู่ พอล้างหน้าแปรงฟันกันเสร็จเราก็ออกไปเดินเล่นรับอากาศยามเช้าอันบริสุทธิ์ที่ไม่มีในสังคมเมืองที่เจริญแล้ว ที่นี่ตอนเช้าๆก็จะมีพวกแม่ค้ามารวมตัวกันขายของริมทางเป็นของ ผักสด ปลา ผลไม้ สัตว์น้ำที่ไปหามาได้ประหนึ่งเหมือนตลาดสดย่อมๆนี่เองคับ เราไปลองดูบรรยากาศกันครับ
นี่แหละครับภาพตลาดเช้าของวังเวียง เราเดินไปเรื่อย เดินไปตามถนนในหมู่บ้านไปยังที่ต่างๆที่เรายังไม่เคยไปเพื่อเก็บภาพบรรยากาศความประทับใจของเมืองวังเวียงให้ได้มากที่สุดและหลากหลายมุม
หลังจากเดินทางรูปกันจนทั่วในบริวณที่เราสามารถเดินไปได้แล้ว ซึ่งภาพบ้างภาพเราอาจจะไม่ได้ไปถ่ายตามจุดนั้นๆ ก็เนื่องจากสภาพอากาศ เวลา และปัจจัยอื่นๆ แต่นี่ก็เป็นภาพส่วนหนึ่งที่เราประทับใจไม่รู้ลืมแล้ว เวลางวดเข้ามาทุกทีครับสำหรับโปรแกรมทัวร์ที่เราจะไปกันในวันนี้เราจึงหาอะไรกินกันเพื่อเติมพลังกันก่อนเดี๋ยวจะไม่มีแรงไปผจญภัยกับธรรมชาติกัน เราเดินมาเจอร้านขายข้าวเปียกเส้น ขายโจ๊ก เราจึงแวะกินกันร้านนี้เลย อีกอย่างก็เป็นเพราะว่าร้านที่ขายอาหารเช้ายังไม่เปิดด้วยแหละ
นี่คืออาหารเช้าสำหรับเราสองคนในวันนี้ นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกของผมเลยในการกินข้าวเปียกเส้น
ซึ่งถือว่าไม่ผิดหวังมันอร่อยมากๆ มันก็เหมือนก๋วยเตี๋ยวบ้านเราแหละครับ ซึ่งคนอื่นๆอาจจะมองว่าธรรมดาแต่สำหรับผมซึ่งเป็นคนกินยากมันคือเรื่องแปลกใหม่สำหรับผม อีกอย่างถามใหญ่มากๆ
""เวลา 08:40 น."" เราเดินจากที่พักมายังบริษัทน้ำทิพย์ทัวร์ที่เราซื้อแพ็คเก็จทัวร์ไว้เพื่อไปทำกิจกรรมตามสถานที่ต่างที่เราซื้อไว้ พอมาถึงพวกพี่ๆเจ้าหน้าที่ก็นำปากกาเมจิกมาเขียนบนหลังมือไว้ให้เราเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของแต่ละกลุ่ม
โดยกิจกรรมของเราในวันนี้จะเริ่มกันที่ ลอยห่วงยางลอดถ้ำน้ำ , ถ้ำช้าง , พายเรือคายัค และปิดท้ายที่ บลูลากูน ปกติแล้วทางบริษัททัวร์จะไปรับเราตามที่พักแต่เราสองคนเลือกที่จะมารอที่บริษททัวร์เองเลยเพราเกรงว่าจะหากันลำบาก
""เวลา 09:15 น."" เราเริ่มออกเดินทางไปทำกิจกรรมกันครับ กลุ่มเรามีทั้งหมด 11 คนก็มีคนไทย 4 คน , ที่เหลือเกาหลีใต้ 7 คน เราต้องนั่งรถออกไปประมาณ 20 กิโลเมตรเห็นจะได้ ขณะที่เราออกไปทัวร์กันนั้นฝนยังไม่หยุดตกเลยซึ่งทำให้เรากังวลพอสมควรในการทำกิจกิจกรรมในวันนี้ ผ่านไประมาณ 20 นาทีเราก็มาถึงจุดแรกกันแล้วครับ
รถจอดให้เราลงกันตรงนี้ครับพร้อมกับแจกถุงกันน้ำให้คนที่ไม่มี แจกน้ำ และอุปกรณ์ต่างๆที่เราจะต้องใช้ในการทำกิจกรรมกันในวันนี้ พร้อมกับอธิบายรายละเอียดคร่าวๆให้เราเข้าใจ
และนี่คือ "หัวหน้าไกด์ชื่อคุณชาย" และก็มีทีมงานอีก 2 คนที่จะเคยดูแลพวกเราทั้ง 11 คน ไกด์จะอธิบายรายละเอียดต่างๆให้เราเข้าใจกันทุกๆคนมีทั้งภาษาไทย อังกฤษ รวมถึงภาษาเกาหลีนิดหน่อย เมื่ออธิบายกันจนเสร็จสิ้นแล้วไกด์ก็จะพาเราเดินมุ่งหน้าลุยน้ำไปยังสถานที่แรกนั้นก็คือ "ถ้ำช้าง" สืบเนื่องจากฝนตกมาหลายวันแล้วทำให้น้ำจากแม่น้ำซองไหลบ่าท่วมทางที่พวกเราใช้เดินทางและกระแสน้ำในแม่น้ำเชี่ยวมากอีกทั้งสีของน้ำขุ่นเป็นสีโคลนเลยซึ่งนั่นคือน้ำป่า
นี่แหละครับเป็นภาพขณะที่เราเดินเท้าลุยน้ำไปยังถ้าช้างกันจากภาพจะเห็นด้านหลังเป็นแม่น้ำซองซึ่งน้ำไหลเชี่ยวมาก
ลุยน้ำมากันจนถึงฝั่งก็ต้องเดินข้ามสะพานกันต่อครับจากสะพานไปยังถ้ำช้างต้องเดินเท้าอีกประมาณ 1 กิโลเมตรครับ หนทางที่เดินทั้งเปียกทั้งลื่นบอกได้คำเดียวว่าทุลักทุเลมากๆ แต่แล้วเราก็เดินทางมาจนถึงถ้ำช้างกันจนได้
"ถ้ำช้าง" เป็นถ้ำที่มีขนาดเล็กและตื้นมากแต่ไฮไลค์มันอยู่ตรงที่มีหินงอกหินย้อยไหลรวมกันเป็นรูปช้างซึ่งพวกเราทั้งหมดใช้เวลาถ่ายรูปกันแป๊บเดียวก็เดินกลับกันเพื่อมุ่งหน้าไปยัง "ถ้ำน้ำ" กันต่อเมื่อทุกคนเดินมากันจนถึงเชิงสะพานซึ่งเป็นจุดรวมตัวของพวกเราทางไกด์ก็ได้เดินมาแจ้งข่าวร้ายกับเราว่าถ้ำน้ำที่เราจะเดินทางไปเป็นจุดที่สองนั้นไม่สามารถเดินทางไปกันได้แล้วเนื่องจากฝนที่ตกลงมา 3 วันทำให้น้ำไหลบ่าท่วมปากถ้ำจนมิดจึงไม่สามารถไปข้างในได้ถึงเข้าได้ก็อันตราย ดังนั้นทางไกด์จึงมาถามความคิดเห็นพวกเราว่าถ้จะเปลี่ยนแผนไปถ้ำน้ำอีกแห่งทุกคนจะโอเคมั้ย พวกเราทุกคนเข้าใจในสถานการณ์นั้นดีจึงเปลี่ยนแผนตามที่ไกด์แนะนำ แต่ถ้ำน้ำอีกแห่งที่เราจะไปนั้นเราต้องพายเรือคายัคลุยกระแสน้ำที่เชี่ยวกราดกันไปมาถึงขั้นนี้แล้วเอาไงเอากันครับ พอตกลงกันจนเสร็จสรรพแล้วทุกคนจึงเดินมาที่รถและต้องนั่งรถกันต่อไปยังจุดที่เราจะต้องพายเรือ พวกเรานั่งรถออกมาอีกไม่ไกล พวกเราก็มาถึงจุดที่เราจะต้องพายเรือกันแล้ว เหมือนเดิมครับไกด์ก็อธิบายถึงขั้นตอนการพายเรือ ความปลอดภัยในขณะที่เรือคว่ำว่าเราต้องเตรียมตัวยังไง ทำยังไงเพื่อเอาชีวิตรอดผมตั้งใช้คำนี้นะครับเพราะว่ามันอันตรายมาก เมื่อทุกคนพร้อมก็ลุยกันเลย
จากตรงนี้พวกเราต้องพายเรือไปยังจุดพักประมาณ 10 กิโลเมตรซึ่งตรงจุดนั้นเป็นจุดพักกินข้าวเที่ยงและจุดที่เข้าชมถ้ำน้ำด้วยครับ
คนที่พอจะพายเป็นก็พายกันเอง ส่วนคนที่พายไม่เป็นก็จะมีพวกพี่ไกด์กระจายกันไปช่วยพายให้แต่ผู้ชายในกลุ่มจะต้องจับคู่กับผู้หญิงบ้างจะได้ช่วยเหลือกัน สำหรับเราสองคนพายกันเองครับ เพราะผมก็พอจะพายเป็นอยู่บ้าง
การพายเรือในครั้งนี้เส้นยาวไกลและจะผ่านเกาะ แก่ง น้ำวน คลื่นน้ำ มากมาย พวกเราในกลุ่มก็มีผ่านไปได้บ้างล้ม คว่ำบ้าง แต่นั้นมันก็จสร้าประสบการณ์ในการพายเรือของเราให้เก่ง คล่อง และเข้าใจกระแสน้ำได้มากขึ้น อย่างเราสองคนเองก็คว่ำตั้ง 2 รอบหลังจากนั้นก็ทำอะไรเราสองคนไม่ได้ล่ะ ถ้าใครที่รักการผจญภัยควรมาเป็นอย่างยิ่ง หลังจากเราพายเรือกันมาเกือบ 1 ชั่วโมงเต็มเราก็มาถึงจุดพักกินข้าวกลางวันและเข้าถ้ำน้ำกันที่นี่ครับ แต่การที่จะนำเรือเข้าจะพักนั้นมันไม่ใช่เรื่องงานเลยเพราะตรงนั้นเป็นคุ้งน้ำ น้ำก็ไหลเชี่ยว แถมยังมีเกาะแก่งอยู่ด้านล่างทำให้น้ำเกิดเป็นคลื่นฉะนั้นเราต้องใช้กำลังเป็นอย่างมากในการพายเข้าฝั่ง แต่นั้นไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นสำหรับผมครับ ผมพายเข้าฝั่งได้สบายเลยครับ จากนั้นก็รอช่วยจับเรือคนอื่นๆมาเข้าจอดที่ฝั่งและรวมตัวเดินกันไปยังที่พักที่เข้าจัดทำไว้ให้รวมทั้งเป็นที่ประกอบอาหารให้พวกเราสำหรับมื้อกลางวันนี้ด้วย
เห็นมั้ยครับพวกพี่ๆทีมงานของน้ำทิพย์ทัวร์กำลังจัดแจงทำอาหารมื้อกลางวันให้เรากันอยู่ครับ ลักษณะเหมือนพวกเรากำลังเดินป่าอยู่เพราะจุดที่เราพักมันอยู่ในป่าจริงๆ แถมฝนยังตกไม่หยุดอีกจึงทำให้การทำกิจกรรมใดๆติดขัดอยู่บ้าง พอทุกคนมาถึงยังที่พักกันครบทุกคนแล้วทางไกด์ก็ได้เดินมาอธิบายให้เราฟังว่าตอนนี้พวกเรากำลังอยู่หน้าถ้ำน้ำที่พวกเรากำลังจะเข้าไป
และนี่ก็คือปากทางเข้าถ้ำน้ำที่พวกเราจะต้องลอยห่วงยางกันเข้าไปครับขอบอกว่าทางเข้าทางออกทางเดียวกันนะครับ เนื่องจากทีมงานพ่อครัวเรายังทำกับข้าวไม่เสร็จทางไกด์จึงนำพวกเราไปเข้าถ้ำน้ำกันก่อน พร้อมแล้วลุยกันเลยครับ
เส้นทางที่พวกเราจะลอยห่วงยางเข้าไปกันนั้นจะมีเชือกให้สาวจับนำทางเข้าไปยังในถ้ำสำหรับอุปกรณ์ที่นำติดตัวเข้าไปในถ้ำนั้นก็มีไฟฉายคาดหัว ห่วงยางแค่นั้นครับ เมื่อเข้าไปในถ้ำความมืดก็เขาปกคลุมมีเพียงไฟฉายที่ส่องสว่างเท่านั้นครับ เมื่อสุดทางเชือกเราก็ต้องเดินเท้ากันต่อไปการเดินในถ้ำต้องระวังให้ดีเพราะในถ้ำมีดินโคลนแดงซึ่งลื่นมากๆ ฉะนั้นจึงต้องค่อยๆก้าวทีละนิดครับ กลุ่มผมมีร่วงลงไปกองกับพื้นกันหลายคนครับแต่ทุกคนก็ช่วงผยุงกันขึ้นถือว่าเป็นการสร้างมิตรภาพที่ดีด้วยกันภายในกลุ่มครับ
ภาพนี้เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังถ้ำของมนุษย์ยุคปัจจุบันซึ่งผมเชื่อว่าสถานที่ท่องเที่ยวส่วนมากบนโลกใบนี้มักจะพบเจอกับสิ่งแบบนี้ พวกเราใช้เวลาเข้าไปสำรวจในถ้ำและออกมายังข้างประมาณ 30 นาที ไกด์บอกว่าจริงๆแล้วเราสามารถเดินทะลุออกอีกฝั่งหนึ่งของถ้ำได้เลยแต่เนื่องจากน้ำที่ผมเกริ่นไว้ในตอนต้นทำให้เราไปต่อกันไม่ได้ พอออกมายังได้นอกสิ่งที่พวกเรารอคอยก็มาถึงแล้ว
นั่นก็คืออาหารกลางวันที่พวกเราหลายๆคนรอคอยกัน อาหารก็มีอย่างที่เห็นครับก็จะมี ข้าวผัด , บาร์บีคิว , กล้วย แค่นี้ก็สามารถเติมพลังให้เราเดินทางด้วยเรือกันต่อแล้ว จากนี้ไกด์บอกว่าอีกไม่ไกลก็ถึงจุดที่เอาเรือขึ้นแล้วทุกคนล้วนแต่ดีใจ หลังจากพวกเรากินอาหารกลางวันและทำกิจธุระส่วนตัวของตนเองเสร็จไกด์ก็ได้ให้สัญญาณที่จะต้องเดินทางกันต่อแล้ว ทุกคนประจำที่เรือของตนเองและพร้อมใจกันพายออกไปฝ่ากระแสน้ำที่เชี่ยวกราดกันต่อ การพายเรือคายัคออกจากจุดพักนั้นเราต้องใช้พละกำลังเป็นอย่างมากและต้องพายทวนน้ำขึ้นไปก่อนเพื่อที่จะบังคับเรือได้ง่ายๆเพราะถ้าปล่อยไปตามกระแสน้ำตั้งแต่เริ่มน้ำจะพัดแรงและเราจะไม่สามารถควบคุมเรือได้อาจจะทำให้เรือคว่ำในที่สุด สำหรับเราสองคนเส้นทางในช่วงที่สองนั้นถือว่าง่ายมากครับ
ดูจากท่าทางเอาแล้วกันครับว่ามันชิวแค่ไหน การที่เรือคว่ำถึง 2 ครั้งมันช่วยสร้างประสบการณ์แลความแข็งแกร่งในการพายเรือให้เราสองคนมากแค่ไหน จากตรงนี้ก็อีกไม่ไกลแล้วครับพวกเราก็จะถึงท่าเทียบเรือ เส้นทางในช่วงนี้ก็จะผ่าน โรงแรม รีสอร์ท บาร์ และร้านอาหาร ในช่วงที่กำลังชื่นชมและดื่มด่ำกับธรรมชาติทางไกด์ก็ตะโกนบอกพวกเราว่าให้พายเรือเข้าท่าเรือทางด้านซ้ายมือเมื่อได้ยินก็ไม่รอช้าที่จะรีบพายเข้าฝั่ง ถือเป็นการปิดกิจกรรมผจญภัยอันหฤโหดทั้ง รอดถ้ำ , พายเรือคายัค 10 กิโลเมตรกว่าๆฝ่ากระแสน้ำอันเชี่ยวกราด
ก่อนที่พี่ไกด์จะไปพี่เขาก็เข้ามาขอถ่ายรูปด้วย ภาระกิจของพี่ๆเขาเสร็จแต่ของเรายังต้องไปกันต่อที่ "บลูลากูน" แล้วพี่ไกด์ก็พาเราไปขึ้นรถเพื่อเดินทางไปบลูลากูนกันต่อจากที่มีทั้งหมด 11 คนถึงตอนนี้เหลือแค่ 7 คนเท่านั้นการเดินทางไปบลูลากูนนั้นเราแนะนำให้เช่ามอเตอร์ไซค์หรือซื้อทัวร์แบบเราไปไม่แนะนำให้ปั่นจักรยานไปด้วยตัวเองแต่ถ้าใครชอบปั่นจักรยานก็ไม่ว่ากันครับเพราะสองข้างทางวิวสวยมากเต็มไปด้วยท้องทุ่งนาอันเขียวขจีและภูเขาแต่ควรคิดถึงความขี้เกียจตอนขากลับด้วยนะครับ เราใช้เวลาเดินทางจากจุดที่เอาเรือเทียบท่ามาจนถึงบลูลากูนประมาณ 20 นาที จากน้นก็นัดแนะเวลากลับที่พักกับคนขับรถซึ่งพี่เขาจะรอเราอยู่บริเวณใกล้ๆ บริเวณบลูลากูนจะมีร้านค้าขายของเหมือนที่อื่นๆ ส่วนค่าเข้าห้องอยู่ที่ 2,000 กีบ (8 บาทเกือบ 9 บาท) ถ้าคิดว่าแพงให้รีบเล่นน้ำทันที ช่วงเวลาที่เราไปนั้นอย่างที่บอกบลูลากูนมันก็จะไม่บลูอย่างแน่นอนเพราะเนื่องจากฝนตกมา 3 วันแล้วฉะนั้นน้ำที่ไหลมาจะเป็นน้ำป่าทั้งนั้นแต่นั้นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับเราและไม่ได้ทำให้การเที่ยวคร้งนี้ของเราสะดุดลงเรายังสนุกกันต่อ อีกอย่างตอนที่เราไปถึงนั้นถือว่าโชคดีมากๆครับเพราะเราได้เห็นช้างกำลังจะกระโดดน้ำ
แค่ล้อเล่นนะครับ เรามาถึงประมาณบ่าย 3 โมงกว่าๆมีเวลาเล่นน้ำอีกเยอะเรานัดกับคนขับรถไว้ตอน 5 โมงเย็นทุกอย่างเรียบร้อยพวกเราก็ไม่รอช้าที่จะไปเล่นน้ำกัน
เราเล่นน้ำกันอยู่ตรงนี้อย่างสนุกสนานใครที่ขึ้นไปกระโดดด้านบนต้นไม้พวกข้างล่างก็จะส่งเสียงเชียร์บางคนขึ้นไปแล้วก็ไม่กระโดดเพราะกลัวความสูง เดิมทีเราได้เพื่อนคนไทยเพิ่ม 2 คนนับตั้งแต่ออกทัวร์แต่พอมาถึงเราก็ได้เพื่อนคนไทยเพิ่มอีก 2 คน ซึ่ง 2 คนหลังนั่งรถมากับผมตั้งแต่อุดรธานีแล้วและผมก็เห็นน้องเขาก็งงๆ ได้มาเจอกันที่นี่อีกส่วนคนอื่นที่นั่งรถมาวันเดียวกันก็เจอกันเดินสวนกัน ทักทายกัน ตามมายาทของคนไทยที่พึงจะมี คนไทยเวลาอยู่ต่างแดนแล้วเจอกันมันช่างเป็นอะไรที่สุดยอดมาก
เสียใจไม่มีผม ขอบใจน้องๆทุกคนสำหรับมิตรภาพต่างแดนและยินดีที่ไม่รู้จัก แล้วเจอกันใหม่นะถ้ามีโอกาส น้องอ้วนผอม 2 คนทางซ้ายมือใช้เวลากระโดดน้ำจากกิ่งเตี้ยๆเกือบชั่วโมง แต่น้องก็ทำสำเร็จพวกพี่ๆดีใจด้วยนะ เราใช้เวลาเล่นน้ำและถ่ายภาพกัน 2 ชั่วโมงเต็มๆ
หล้งจากนั้นพวกเราก็เดินไปตามคนขับรถเพื่อจะเดินทางกลับไปยังที่พักของแต่ละคน พวกเรา 4 คน + เกาหลีอีก 3 คนขึ้นรถเดินทางกลับ ส่วนน้องอ้วนผอมปั่นจักรยานกลับ เราจึงไปถามคนขับรถว่าให้เพื่อนไปด้วยได้มั้ยพี่เขาใจดีให้ไปด้วยผมเลยยกรถจักรยานขึ้นท้ายรถช่วยกันจับแล้วเดินทางต่อ น้องบอกว่า "หนูอ่านรีวิวก่อนมาแล้วว่าไม่แนะนำให้ปั่นจักรยานไป แต่ที่หนูต้องปั่นเพราะหนูอยากไปอีกอย่างหนูขับรถมอไซค์ฯไม่เป็น ถ้าหนูกลับไปแล้วมีคนรู้จักไปหนูจะบอกเขาให้เชื่อรีวิว" เท่านั้นแหละเหล่าคนไทยก็หัวเราะกันลั่นเลย นั่งรถกันมาสักพักพวกเราก็ถึงหน้าบริษัททัวร์และพวกเราก็แยกย้ายกันตรงนี้ เราสองคนหวังว่าคงมีโอกาสได้เจอกันใหม่ และนี่ถือเป็นการปิดทัวร์นี้อย่างสวยงาม
""เวลา 17:00 น."" เราเดินทางมาถึงที่พักหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจทัวร์ที่แสนหฤโหดในวันนี้และร่างกายที่สะบักสะบอม น่วมไปทั้งตัว เราก็กลับไปอาบน้ำ ชาร์จแบตเตอร์รี่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกค์ของเราต่างๆเพื่อเอาไว้ใช้สื่อสารและภาพบรรยากาศในแต่ละช่วงเวลา ถึงตอนนี้บอกตรงๆ หิวมากแล้วเราเดินออกจากที่พักเพื่อเดินหาร้านอาหารที่เราคิดได้บรรยากาศมากที่สุดสำหรับมื้อเย็นของเราในวันนี้ เราจึงเลือกร้านอาหารที่ติดริมแม่น้ำซองและภูเขา ร้านอาหารที่ติดริมแม่น้ำซองและภูเขานั้นมีให้เลือกมากมายหลายร้านใครชอบแนวไหนเลือกเอาตามใจชอบเลยครับ หลังจากที่เราเลือกอาหารได้แล้วเราก็ไม่รอช้าที่จะสั่งอาหารมากินกัน เมื่อทำการสั่งอาหารกันเป็นที่เรียบร้อยสิ่งเดียวที่เราทำได้ตอนนี้คือ "รอ" เราจึงนำกล้องถ่ายรูปมาถ่ายเล่นกันเพื่อฆ่าเวลาและให้ลืมึความหิวไปพลางๆก่อน
แอบมีหวานกับเขาบ้างเล็กน้อย จากภาพจะเห็นวิวภูเขาลางๆครับ นั่งกินข้าวตอนนี้บอกตรงๆครับบรรยากาศสุดยอดมากเลยครับ
ผ่านไปไม่นานสิ่งที่เรารอคอยก็มาถึงจนได้และที่สั่งมาเนี่ยกินกันแค่สองคนนะครับ จะสังเกตได้ว่าอาหารทุกมื้อของเราจะมีส้มตำกับเบียร์อยู่ด้วยทุกมื้อก็ไม่มีอะไรมากครับคนรู้ใจของผมเขาขาดไม่ได้เห็นกับข้าวเต็มโต๊ะแบบนี้ไม่ต้องห่วงว่าจะเหลือครับ เราสองคนจัดการกันเรียบ "อาหารที่ผมแนะนำในมื้อนี้ก็คือสุกี้ลาวผัดแห้ง" ครับลักษณะก็เหมือนสุกี้แห้งบ้านเราแต่ที่แตกต่างคือที่นี่เขาไม่ได้ใช้น้ำจิ้มสุกี้เพื่อดึงรสชาติมันออกมา โอ้ย !!!! บอกไม่ถูกใครมีโอกาสไปลองหากินกันดูครับ นั่งกินนั่งชมบรรยากาศกันอย่างเต็มที่เพื่อผ่อนคลายจากทัวร์หฤโหดของวันนี้ ไปต่อกันดีกว่าไปเดินเล่นชิวๆกันที่วังเวียงยามเย็นกันบ้างดีกว่าคืนที่ 2 คนละที่เรอยู่ที่นี่ ไปจ่ายค่าอาหารกันดีกว่า อ่อๆร้านนี้เราต้องเดินไปจ่ายเงินที่เค้าเตอร์เองนะครับ สำหรับค่าอาหารของเราในวันนี้อยู่ที่ 123,000 กีบ (ประมาณ 535 บาทไทย) ราคาอาหารของเราแต่ละมื้อก็อยู่ที่ประมาณนี้แหละครับ หลังจากจ่ายเงินกันแล้วเราก็เดินเล่นรอบเมืองวังเวียงเพื่อเป็นการสั่งลาเมืองแห่งนี้
มันเป็นค่ำคืนที่เงียบมากอาจจะเป็นเพราะอยู่ในช่วงกลางสัปดาห์ก็เป็นได้ครับร้านอาหาร , บาร์ จึงเงียบแบบนี้ ครั้งแรกเรากะว่าจะมานั่งที่ "ซากุระบาร์" ซึ่งหลายคนที่เคยมาบอกให้ไปลองดูอีกทั้งเป็นร้านที่ดังที่สุดในวังเวียงละแต่อย่างที่บอกแหละครับว่ามันเงียบมากเราสองคนจึงตัดสินใจเดินถ่ายรูปเล่นเฉยๆอย่างเดียวดีกว่าอีกอย่างพรุ่งนี้เรายังต้องเดินทางกันต่อถ้าดื่มมากไปมันอาจจะส่งผลต่อการเดินทางของเราก็ได้ครับเพราะพรุ่งนี้เราต้องเดินทางต่อไป "นครหลวงเวียงจันทร์" เราซื้อตั๋วจากบริษัทน้ำทิพย์ทัวร์นั่นแหละครับราคาตั๋วอยู่ที่คนละ 50,000 กีบ (ประมาณ 220 บาทไทย) และรถออกพรุ่งนี้ตอน 08:30 น.เมื่อจัดการเรื่องตั๋วเดินทางเสร็จแล้วเราก็เดินกลับไปยังที่พักระหว่างทางก็แวะซื้อเบียร์ลาวไปดื่มกันที่ห้องคนละ 1 กระป๋องใหญ่ เอาแค่หอมปากหอมคอพอคืนนี้ ฝันดีครับทุกๆคน
""วันที่ 16 สิงหาคม 2559"" วันนี้แล้วซินะที่เราจะต้องสั่งลาวังเวียงเมืองที่ห้อมล้อมด้วยภูเขาและสายน้ำกันแล้ว วันนี้เราตื่นกันตั้งแต่ 6 โมงเช้าและวันนี้ก็เป็นวันแรกตั้งแต่วันมาถึงที่นี่แล้วฝนไม่ตกเราได้เจอแสงแดดแรกกันแล้ว เราก็ไม่พลาดที่จะเก็บอ็อกซิเจนอันบริสุทธิ์เข้าปอด พอตื่นล้างหน้าล้างตาเสร็จเราก็เก็บเสื้อผ้าเข้ากระเป๋าเพื่อเดินทางต่อไปยังเวียงจันทร์ต่อ เราใช้เวลาสักครู่ในการเก็บกระเป๋าหลังจากนั้นก็อาบน้ำเพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง
""เวลา 08:00 น."" เราทำการ Check out ออกจากที่พักเรามีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงในการกินอาหารเช้าก่อนที่รถจะออก เราจึงเลือกกินอาหารเช้ากันที่ร้านเดิมและเมนูเดิมนั่นก็คือ "ข้าวเปียกเส้น" พอสั่งเสร็จป้าเขาเห็นเราดูท่าทางรีบร้อน ป้าแกบอกไม่ต้องรีบกว่ารถจะออกจริงๆก็ 9 โมงนั่นแหละ พอเราได้ยินอย่างงั้นก็โล่งอกไปบ้าง เราใช้เวลากินอาหารเช้าประมาณ 15 นาที สำหรับค่าอาหารเช้าวันนี้อยู่ที่ 48,000 กีบ (ประมาณ 208 บาทไทย) จากนั้นมุ่งหน้าไปรอรถเข้าเวียงจันทร์กันต่อครับ พอเดินมาถึงบริษัทน้ำทิพย์ทัวร์รถก็มาถึงพอดี เราจึงขึ้นรถเดินทางต่อเลยเพราะคิดว่าถ้าไปถึงเร็วเราก็จะมีเวลาทำอะไรกันมากขึ้นอีกอย่างเราต้องเดินหาห้องพักกันด้วย รถที่เราจะใช้โดยสารเป็นรถตู้ 15 ที่นั่งครับลักษณะเป็นรถตู้เหมือนกับบ้านเรานั่นแหละครับทั้งหมดที่เดินทางไปเวียงจันทร์มีประมาณ 10 คนเห็นจะได้ส่วนใหญ่เป็นคนพื้นที่ก็จะมีนักท่องเที่ยวก็คือเราสองรนและสาวฝรั่งอีก 2 คน แต่ระหว่างทางคนขับก็จะจอดรับผู้โดยสารไปด้วยหรือมีคนจองไว้ก็แวะไปรับ เส้นทางจาก "วังเวียง ➡ เวียงจันทร์" นั้นเราสามารถชื่นชมกับธรรมชาติของสองข้างทางได้อย่างเต็มที่ เห็นน้ำตกไหลลงมาจะยอดภูเขา เห็นชาวบ้านสองข้างทางกับกิจวัตรประจำวันกัน เห็นนั่งท่องเที่ยวเดินทางด้วยวิธีต่างๆ คนขับรถบอกเราว่าจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง เราก็น่าจะถึงที่เวียงจันทร์ประมาณบ่ายโมงพอดี เนื่องจากระยะทางที่ค่อนข้างไกลเราจึงเลือกที่จะหลับพักผ่อนบนรถเลยแต่การหลับบนรถตู้ของ สปป.ลาว นั้นมันไม่ได้ง่ายเลยเพราะด้วยวิธีการขับรถ ถนนหนทางที่ไม่ได้ราบเรียบมันคืออุปสรรคในการนอนของเรา เรานอนแบบกึ่งหลับกึ่งตื่นถือว่ายังดี ดีกว่าไม่ได้หลับเลย
""เวลา 12:30 น."" เราเดินทางมาถึงสถานีขนส่งของ สปป.ลาว ใครจะลงตรงนี้ก็สามารถลงได้ "แต่เราบอกตั้งแต่ซื้อตั๋วที่น้ำทิพย์ทัวร์แล้วว่าจะไปลงย่านริมโขงหรือไม่ก็ตลาดเช้าแต่เนื่องจากคนลงที่นี่กันหมดคนขับรถจึงให้เราลงที่นี่นั่นหมายถึงว่าเราต้องเสียค่ารถสองต่อ เรารู้เลยว่ามันเป็นธุรกิจเพราะตรงไหนจะมีสามล้อให้เราเหมาเข้าเมืองแต่เราสองคนเลือกที่จะปฏิเสธและสอบถามเส้นทางกับคนพื้นที่เอาครับ พอดีเจอป้าคนหนึ่งเขาบอกให้ขึ้นคันนี้เพราะค่ารถอยู่ที่คนละ 5,000 กีบ (ประมาณ 22 บาทไทย)
แต่พอถึงตอนเวลาเก็บเงินมันไม่เป็นตามที่ป้าคนพื้นที่เขาบอกเพราะทุกคนโดนเหมือนๆกันหมด คนละ 20,000 กีบ (ประมาณ 87 บาท) ทุกคนถึงกับงงกันทั้งรถ ฉะนั้นถ้าใครไม่อยากโดนเหมือนเราสองคนหรือคนอื่นๆ เราแนะนำให้ขึ้นรถเมล์ของรัฐบาลเป็นรถเมล์สีเขียวสาย 169 ครับลักษณะคล้ายๆรถยูโรบ้านเราครับราคาอยู่ที่คนละ 5,000 กีบ (ประมาณ 22 บาทไทย)" เรานั่งรถสองแถวมาลงยังตลาดเช้าและกะว่าจะเดินหาที่พักกันย่านนี้ครับ เพราะใกล้ท่ารถที่เราจะนั่งกลับอุดรธานีครับว่าแล้วก็เดินหาที่พักกันครับ
เดินหาที่พักกันแป๊บครับเน้นถูกๆไว้ก่อนเดี๋ยวไม่มีสตางค์กลับบ้านแต่พอเราเดินดูบริเวณรอบๆย่านตลาดเช้าแต่ดูแล้วมันวุ่นวายเกินไปเราจึงเปลี่ยนไปหาที่พักกันย่านอื่น "ที่เวียงจันทร์จะมีย่านหลักๆอยู่ด้วยกัน 4 ย่านด้วยกันคือ ย่านตลาดเช้า , ย่านริมแม่น้ำโขง , ย่านน้ำพุ และ ย่านมีชัย ทั้ง 3 ย่านหลังจะอยู่ใกล้ๆกัน" เราเดินหาที่พักจนเมื่อยล้าไม่มีแรงที่จะเดินเราจึงหาเหมารถสามล้อเพื่อนไปหาที่พักกันในย่านริมแม่น้ำโขง เวลาจะเหมาสามล้อที่ไม่ใช่สามล้อวิ่งรอบเมืองให้พยายามต่อไม่ต้องเกรงใจครับเพราะตอนที่เราเหมาเขาจัดเต็มเลยครับคิดเราที่ราคา 40,000 กีบ (ประมาณ 174 บาทไทย) แต่พอเราปฏิเสธเขาก็ลดราคาให้เหลือ 20,000 กีบ (ประมาณ 87 บาทไทย) ซึ่งราคานี้เรารับได้จึงให้เขาไปส่งย่านริมน้ำโขงและเราก็เดินหาที่พักกันย่านนี้เลยครับ
เราได้ที่พักกันที่ "มีชัยพาราไดซ์" สนนราคาที่พักคืนละ 640 บาท + อาหารเช้าซึ่งถือว่าเป็นราคาที่น่าประทับใจเลยครับแต่ตอนที่เราไป Check in นั้นห้องพักยังทำความสะอาดไม่เรียบร้อย เราจึงขอคำแนะนำพนักงานต้อนรับเพื่อที่จะไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ในเวียงจันทร์ พนักงานจึงเอาแผนที่ออกมากางให้เราดูพร้อมกับอธิบายเส้นทางให้เราเข้าใจ เพราะจากนี้ไปเราจะใช้วิธีเดินเท้าเที่ยวเวียงจันทร์กันครับ
เราเดินตามแผนที่ที่พนักงานต้อนรับได้บอกเราบอกตรงๆครับว่ามันง่ายมากครับในการเดินเท้าเที่ยวเวียงจันทร์แต่อาจจะไกลไปสักหน่อยแต่เราก็จะได้พบเห็นสิ่งอื่นๆได้ด้วยและสถานที่แรกที่เราจะไปนั้นก็คือ "หอแก้ว" ครับ
ก่อนเข้าไปเราจะต้องซื้อบัตรผ่านประตูเข้าชมก่อนนะครับราคาอยู่ที่ 5,000 กีบ (ประมาณ 22 บาทไทยแต่ถ้าจ่ายเงินไทยเขาจะเก็บคนละ 25 บาท) เมื่อซื้อบัตรแล้วก็เข้าไปชมหอแก้วกันเลนครับ
สำหรับ "หอแก้ว" นั้นเป็นสถานที่ที่เก็บรวบรวมวัตถุโบราณและจัดแสดง ส่วนมากเป็นวัตถุโบราณจำพวกพระพุทธรูป หลักศิลาจารึก ซึ่งผมคิดว่ามันน่าจะเป็นภาษาเดียวกันกับ "พ่อขุนรามคำแหง" คิดค้นในสมัยสุโขทัยเพราะวิธีการเขียนเหมือนกันมากๆ ประกอบกับเมื่ออดีตไทยกับลาวเป็นประเทศเดียวกันก่อนที่เราจะเสียดินแดนให้ฝรั่งเศสในสมัยนั้นก็คือเราเสียประเทศลาวทั้งประเทศให้ฝรั่งเศสนักล่าอาณานิคมในยุคสมัยนั้น สำหรับหอแก้วนั้นด้านในห้ามถ่ายรูปโดยเด็ดขาด พอเสร็จสิ้นจากการเที่ยวชมหอแก้วแล้วเราก็เดินทางไปกันที่ "วันสีสะเกต" ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้อมแก้วแค่ข้ามถนนก็ถึงแล้ว ที่นี่ก็ต้องซื้อบัตรเข้าชมเหมือนกันและราคาเดียวกันด้วยครับ วัดสีสะเกตนี้มีอายุโดยประมาณ 400 ปี
ไปด้านในกันดีกว่าครับ พอเข้ามาถึงด้านในของตัววัดแล้วด้านในจะมีพระอุโบสถตั้งอยู่ตรงกลางแล้วมีกำแพงล้อมรอบ
ส่วนด้านในของพระอุโบสถจะมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีตแต่ในวันที่เราเดินทางไปเที่ยวชมนั้นกำลังอยู่ในขั้นตอนของการบูรณปฏิสังขรณ์ภาพจิตรกรรมฝาผนังกันอยู่โดยมีกรมศีลปากรของลาวและผู้เชี่ยวชาญด้านภาพวาดจิตรกรรมของรัฐบาลเยอรมันนีให้การสนับสนุน ส่วนลักษณะโดยรอบเป็นกำแพงล้อมรอบ
ลักษณะเหมือนโบราณสถานที่บ้านเราอ่ะครับแต่ผมนึกไม่ออกว่าที่ไหน เดินเที่ยวกันจนเหนื่อยแล้วประกอบอากาศที่ร้อนอบอ้าวเราจึงตัดสินใจไปหาอะไรกินกันก่อนเพราะวันนี้ทั้งวันเพิ่งกินไปแค่มื้อเช้าเท่านั้นก่อนที่จะไปเที่ยวต่อกันที่ "ประตูชัย" เราเดินย้อนกลับมาย่านน้ำพุเพื่อหาอะไรกินกัน เราไปเริ่มกันที่ร้านดังในย่านนี้เลยครับนั่นก็คือ "โจมา เบเกอรี่" ใครๆเขาก็ล่ำลือกันว่ากาแฟกับขนมร้านนี้อร่อยเราก็ไม่พลาดที่จะลิ้มลองกัน
สภาพด้านในร้านถือว่าดีเลยครับ คนเยอะมาก ผู้คนสลับกันเข้าออกอย่างต่อเนื่องและโชคดีของเรามากที่มีโต๊ะว่างพอดีไม่งั้นต้องไปนั่งข้างนอกคงไม่ไหวร้อนมาก ด้านในเป็นแอร์ ที่ร้านยังมี WiFi ให้ใช้บริการด้วยนะครับเหมือนกับร้านกาแฟบ้านเรานี่แหละครับแต่เรื่องสัญญาณไปลองกันเองนะครับ อ่อๆสำหรับเมนูที่เราสั่งมาในวันนี้ก็มี น้ำแตงโมปั่น , คาปูชิโน่เย็น , เค้กกล้วยหอม ราคาอยู่ที่ 63,000 กีบ (ประมาณ 270 บาทไทย) สำหรับผมเองแล้วผมว่าแอบแพงไปนิดนะ เสร็จจากร้านเบเกอรี่ดังเรายังไม่หยุดอยู่แค่นั้นเราไปต่อกันที่ร้านดังร้านต่อไปในย่านนี้ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนี่เองครับนั่นก็คือร้านอาหารที่มีชื่อว่า "ขอบใจเด้อ"
เป็นร้านอาหารกึ่งบาร์สามารถกินข้าวและนั่งดื่มพร้อมกันทีเดียวได้เลยครับ เราไปที่ร้านนั่งดื่มเบียร์ลาวกัน 1 ขวดและสั่งเนื้อย่างมาเป็นกลับแก้ม
ขอบอกเลยนะครับว่าเนื้อย่างที่นี่อร่อยมากครับ เมนูอาหารที่นี่เน้นเสิร์ฟคู่กับผักเสมอ สงสัยคนลาวจะกินผักเก่ง เรานั่งอยู่ที่ร้านขอบใจเด้อจนถึงเวลาประมาณ 5 โมงเย็นและเราก็เดินเท้ากันต่อเพื่อไปเที่ยวกันที่ "ประตูชัย" กันต่อจากร้านเดินไปประตูชัยถ้าใครบอก 15 นาทีอย่าไปเชื่อนะ เราสองคนเดินมาละเกือบ 30 นาทีแต่ถ้าเดินเล่นชิวๆก็สบายครับเพราะผมคิดว่าคุ้มกว่าขึ้นรถสามล้อ เราสองคนเดินมาเรื่อยๆจนถึงประตูชัยแต่เนื่องจากเรามาถึงช้าจนเกินไปทำให้เราอดขึ้นไปยังด้านบนของประตูชัยเราจึงเดินถ่ายรูปเล่นบริเวณรอบๆประตูชัย
ภาพบรรยากาศยามเย็นที่ประตูชัยครับ "สำหรับประตูชัยนั้นถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2505 และสร้างเสร็จในปี 2512 สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานสำหรับประชาชนคนลาวที่เสียสละชีวิตต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ โดยมีความสูงเท่ากับตึก 7 ชั้นและวัสดุที่นำมาใช้สร้างประตูชัยแห่งนี้ก็เป็นปูนจากกองทัพสหรัฐอเมริกาที่จะนำมาสร้างสนามบินในสมัยสงครามเอเชียมหาบูรพาแต่ทางฝ่ายสหรัฐอเมริกาแพ้สงครามเสียก่อนจึงไม่ได้สร้างและนำปูนดังกล่าวมาสร้างประตูชัยแทน" นี่ก็เป็นประวัติคร่าวๆของประตูชัยที่นำมาฝากกันครับ แต่เราสองคนสัญญาว่าพรุ่งนี้เราสองคนจะกลับมาที่นี่อีกและขึ้นไปด้านบนของประตูชัยให้ได้ครับและตอนนี้ก็ใกล้เวลาที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าแล้วเราสองคนจึงรีบเดินเพื่อไปให้ทันดูพระอาทิตย์ตกดินริมแม่น้ำโขงเพราะเราไม่อยากพลาดโอกาสนี้ เราเดินผ่านโรงแรมไปเพื่อจะไปริมแม่น้ำโขงก่อนและแล้วเราสองคนก็มาทันดูพระอาทิตย์ตกดินพอดีเลยแต่ก่อนที่จะไปดูพระอาทิตย์ตกดินไปดูกิจกรรมของพี่น้องชาวลาวทำกันริมน้ำโขงกันครับ
กิจกรรมยามเย็นของคนลาวในนครหลวงเวียงจันทร์ก็คือการเต้นแอโรบิคมีด้วยกัน 2 ที่แต่อยู่คนละมุมคนเต้นเยอะมากครับและอีกกิจกรรมที่คนที่นี่ทำกันริมแม่น้ำโขงก็คือ การเตะตะกร้อ เล่นฟุตบอล ครับ
เราสองคนนั่งเล่นกันอยู่บริเวณนั้นเพื่อจะรอดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยและแล้วเวลาที่เรารอคอยก็มาถึงจนได้ครับ
แสงสีทองบนฟากฟ้ามันช่างงดงามเสียจริงๆครับ เรานั่งมองไปยังฝั่งประเทศไทยมันทำให้เราคิดถึงบ้านเพิ่มขึ้นไปอีก เสร็จสิ้นภาระกิจในวันนี้ที่นครหลวงเวียงจันทร์เราสองคนกลับไป Check in กันที่ Guesthouse ที่เราไปติดต่อเมื่อช่วงกลางวัน
""เวลา 18:15 น."" เรากลับมายังโรงแรมมีชัยพาราไดซ์เพื่อที่มารับกุญแจห้องพักเราได้พักห้องหมายเลข 208 ได้กุญแจห้องพักแล้วเราสองคนก็ขึ้นไปยังห้องพักเพื่อทำการพักผ่อน อาบน้ำ และออกไปเที่ยวกันในยามค่ำคืนบ้าง
และนี่ก็เป็นสภาพห้องพักของเราสองคนในค่ำคืนส่งท้ายกันที่นครหลวงเวียงจันทร์ ซึ่งสำหรับเราแล้วมันคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปจริงๆครับ
""เวลา 20:00 น."" หลังจากอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จเราสองคนก็พร้อมที่จะออกไปท่องราตรีในเมืองหลวงแห่งนี้แล้ว เราสองคนมุ่งหน้าไปช็อปปิ้งกันที่ถนนคนเดินริมน้ำโขง
ลักษณะก็เหมือนตลาดนัดบ้านเรานั่นแหละครับแต่เรื่องราคาข้าวของเครื่องใช้ที่นี่ผมว่าถูกกว่าบ้านเราพอสมควรครับ เราสองคนเดินเล่นกันจนทั่วตลาดเลยครับได้ซื้อคลุมของผูหญิงมา 1 ตัวราคา 160 บาท ทั้งราคาและ Design โดนใจเลยจัดไปซะ หลังจากเดินเล่นและช็อปปิ้งจนทั่วแล้วเราสองคนก็เดินไปเก็บภาพริมสองฝั่งโขงก่อนที่จะไปสถานที่ต่อไป
ภาพความงามของสองฝั่งโขงและในภาพนี้เป็นแสงไฟที่ตกกระทบกับแม่น้ำโขงจากฝั่งประเทศไทย อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย เรายืนรับลมกันสักพักเราก็เดินไปหาอะไรกินกันก่อนที่จะไปหาร้านนั่งดื่มกันต่อเพื่อส่งท้ายเมืองแห่งนี้
""เวลา 2045 น."" เราเดินย้อนออกไปในเมืองใกล้ๆบริเวณที่พักของเรา มีร้านอาหารมากมายหลายแบบทั้งที่ดูหรูหราและแบบธรรมดา เราเลือกที่จะกินร้านข้างทางที่เป็นร้านเหมือนร้านอาหารอีสานบ้านเรา เราเดินผ่านหลายรอบละเห็นดูน่ากินดีอีกอย่างคนก็เยอะด้วยนะน่าจะอร่อยพอดู
เรื่องกินไว้ใจเราได้ครับ ร้านนี้ผมขอแนะนำไก่ย่างครับต้องขอบอกเลยว่าอร่อยมากถ้ามีโอกาสมาร้านนี้ต้องสั่งให้ได้นะครับ สำหรับอาหารของเรามื้อนี้อยู่ที่ 70,000 กีบ (ประมาณ 304 บาทไทย) ก่อนที่เราจะย้ายกันไปดื่มกันต่อที่ร้าน Mix Restaurnt
""เวลา 21:15 น."" เราสองคนย้ายร้านมานั่งดื่มกันต่อที่ร้าน Mix Restaurant ที่นี่มีดนตรีสดให้เราได้นั่งฟังมีอาหารให้สั่งกิน รวมถึงร้าน Sushi Bar ด้วยเพราะร้าน Mix Restuarant นั้นตั้งอยู่ในสวนน้ำพุและในบริเวณนี้มีหลายร้านเปิดให้บริการด้วยเช่นกัน
เดิมที่เราจะไปเที่ยวกันที่ผับเท็กที่เวียงจันทร์กันแต่ต้องเหมารถไกลออกไปเราเลยตัดสินใจไม่ไปในท้ายที่สุด เรามีเวลานั่งดื่มได้ถึงแค่ 5 ทุ่มครึ่งเท่านั้นนะครับเพราะกฏของที่นี่คือร้านอาหาร ร้านเหล้า ผับ เท็ก หรือแม้แต่ถนนคนเดินริมโขงอนุญาติให้เปิดได้ถึง 5 ทุ่มครึ่งเท่านั้น เรานั่งดื่มกันอยู่ที่ร้านนี้จนใกล้เวลาร้านปิดเราก็เดินทางกลับที่พัก พอถึงห้องพักล้างหน้าล้างตาเสร็จหัวถึงหมอนเราก็หลับเป็นตายเลย
""วันที่ 17 สิงหาคม 2559"" วันนี้แฟนผมตื่นตั้งแต่ตี 4 เพราะเธอมีนัดตักบาตรตอนเช้า อยากตักตั้งแต่อยู่วังเวียงละ มาสมใจที่เวียงจันทร์นี่เองซึ่งผมไม่ได้ลงไปด้วยเพราะรู้สึกว่าร่างกายยังระบมไม่หายเลยขอนอนต่อครับจะได้มีแรงไปยังสถานที่ที่เรายังติดข้างกันอยู่
""เวลา 07:00 น."" หลังจากใส่บาตรเสร็จและกลับมานอนพักแล้วเราสองคนตื่นแล้วออกเดินไปเล่นที่บริเวณสวนสาธารณะที่อยู่ริมแม่น้ำโขงและเดินเท้าไปต่อยังสถานที่อื่นๆด้วย เราเดินเรียบริมโขงไปเรื่อยก็จะเห็นผู้คนมาวิ่งออกกำลังกายมีทั้งนักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่ เราเดินมาจนถึง "อนุสวรีย์เจ้าอนุวงศ์" ซึ่งเป็นสถานที่ที่เราตั้งใจจะมากันอยู่แล้ว
"สำหรับเจ้าอนุวงศ์ของลาวถือเป็นกษัตริย์พระองค์สุดที่ปกครองนครหลวงเวียงจันทร์และเป็นผู้รวบรวมกองทัพเพื่อปดแอกจากการปกครองของรัฐบาลสยามในสมัยนั้นเกิดขึ้นในช่วงรัชกาลที่ 3 ของประเทศไทย" เสร็จจากตรงนี้เราก็มุ่งหน้าไปต่อกันที่ประตูชัยเพื่อที่จะขึ้นไปด้านบนให้ได้เพราะเราอยากเห็นวิวมุมสูงของเวียงจันทร์แต่เนื่องจากเราเดินเท้ากันตั้งแต่เมื่อวานทำให้วันนี้เรายังรู้สึกเมื่อยล้าอยู่เราจึงวิ่งไปขึ้นรถสามล้อที่จะวิ่งไปยังประตูชัย
เราไม่ได้เหมากันมานะครับเป็นสามล้อที่วิ่งรอบเมืองอยู่แล้วค่ารถก็ตกอยู่ที่คนละ 40 บาท ลืมบอกไปยังอย่างหนึ่งครับพอเราเข้ามาถึงเวียงจันทร์เราก็ใช้เงินกีบที่เหลือให้หมดและใช้เงินบาทควบคู่ไปด้วย และแล้วเราก็มาถึงประตูชัยในยามเช้าแต่ต้องรอประตูทางขึ้นเปิดสักครู่ ขณะที่รอประตูเปิดเราก็ไปเดินถ่ายรูปเล่นกันที่มุมอื่นๆก่อน
""เวลา 08:30 น."" ประตูทางขึ้นประตูชัยเปิดให้ใช้บริการแล้ว เราก็ไม่รอช้าที่จะขึ้นไปยังด้านบน ก่อนขึ้นก็ต้องซื้อบัตรก่อนนะครับ ราคาบัตรคนละ 15 บาท
ซื้อบัตรผ่านประตูแล้วขึ้นได้ ระหว่างทางที่ขึ้นไปยังด้านบนนั้นแต่ละชั้นของประตูชัยก็จะมีร้านค้าขายของมากมายเกือบทุกชั้นเลยครับ เราใช้เวลาเกือบ 10 นาทีเดินจากด้านล่างสู่ด้านบนเล่นเอาเหงื่อตกเหมือนกันครับ แต่เมื่อขึ้นมาถึงด้านบนความเหนื่อยก็หายเป็นปิดทิ้งเลยครับ
ถ่ายรูปคู่เสร็จเราก็แยกย้ายถ่ายภาพตามมุมที่เราชอบและเราก็ไม่ลืมที่จะนำรูปมุมสูงของนครหลวงเวียงจันทร์มาฝากเพื่อนๆกันครับ
ถ่ายรูปกันเพลินไปนิดหันไปดูเวลาปาเข้าไปเกิบ 9 โมงเช้าแล้วเราสองคนจึงเดินทางกลับไปยัง Guesthouse เพื่อให้ทันอาหารเช้าที่จะหมดเวลาในเวลา 10 โมงเช้า ยังไงๆก็ต้องก็ต้องให้ทันอาหารเช้าจะได้ประหยัด อิอิ เราสองคนเดินไปเรื่อยๆ เดินไปแวะไปบ้าง ระหว่างทางเราก็จะเจอชาวลาวตื่นเช้าขับรถมาทำงานกัน โดยส่วนตัวแล้วเราสองคนค่อนข้างชอบการแต่งตัวของคนทำงานที่นี่
นุ่งซิ่นดูน่ารักดีครับ อีกอย่างเป็นการรักษาวัฒนธรรมการแต่งกายของชาติไว้ด้วย ผมว่าบ้านเราน่าจะนำมาใช้บ้างนะครับ
""เวลา 09:20 น."" เราเดินกลับมาถึงที่พักและเราก็ยังทันอาหารเช้าอีกด้วย อาหารเช้าก็ไม่มีอะไรมากครับง่ายๆตามสบาย Guesthouse และเหมาะสมกับราคาค่าห้องพัก ถือว่าไม่ขี้เหร่หรอกครับ
และนี่คือหน้าตาอาหารเช้าของเราสองคนในเช้าวันนี้ครับก่อนจะจากลาเมืองอันเงียบสงบแห่งนี้ไป เรานั่งกินอาหารเช้าจนครบเวลาของอาหารเช้าเลยครับ อาศัยพักเหนื่อยจากการเดินมาด้วย หลังจากอาหารเช้าเราก็กลับไปยังห้องพักเพื่ออาบน้ำ เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเตรียมความพร้อม
""เวลา 10:45 น."" หลังจากเก็บเสื้อผ้าและอาบน้ำเสร็จแล้วเราก็ลงมาทำการ Check out และเดินทางไปยังท่ารถที่ตั้งอยู่บริเวณตลาดเช้า
เดินกันต่อครับจากที่พักไปตลาดเช้าก็ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีคิดดูแล้วน่าจะทันรถ เวียงจันทร์ ➡ อุดรธานี รอบ 11:30 น.อย่างแน่นอนครับ พอเดินมาถึงเราก็เดินเข้าไปซื้อตั๋วด้านในราคาคนละ 100 บาท รถกลับ หนองคาย อุดรธานี มีเกือบทุกชั่วโมงและเที่ยวสุดท้ายของแต่ละวันคือรอบ 18:00 น. เราแนะนำให้มาซื้อตั๋วเองที่ท่ารถเองจะดีกว่าครับเพราะซื้อที่ท่ารถราคา 100 บาทแต่ถ้าซื้อกับทางโรงแรมราคาประมาณ 200-220 บาท แต่ถ้าซื้อตั๋วรถเองที่ท่ารถจะไม่สามารถซื้อล่วงหน้าได้ เพราะเขาจะขายกันวันต่อวันครับ เรามาถึงก่อนเวลาเล็กน้อยเราจึงเดินเล่นรอบๆตลาดเช้าก่อนที่รถจะมา
บรรยากาศตลาดเช้าค่อนข้างวุ่นวายครับ มีของวางขายเพียบของแปลกตาก็มี ส่วนใหญ่เป็นผักและผลไม้ อาหารปรุงสุก และแน่นไปด้วยบรรดารถสามล้อครับเดินไปไหนมาไหนก็ถามตลอดเวลา ก่อนขึ้นรถเราแวะซื้อกาแฟและขนมขบเคี้ยวเอาไว้ไปกินบนรถระหว่างเดินทาง
""เวลา 11:30 น."" รถทัวร์สาย เวียงจันทร์ ➡ หนองคาย ➡ อุดรธานี มาเทียบท่าพร้อมที่จะนำเรากลับสู่ประเทศไทย จากนี้เราใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งก็จะถึงสถานีปลายทางที่จังหวัดอุดรธานีครับ เมื่อรถขับมาถึงด่านเราก็ลงจากรถเพื่อไปตรวจ Passport ขาเข้ากันก่อนและไปรับ Smart Card ไปเปิดประตูถือเป็นการผ่านด่านจุดแรก ซึ่งจุดนี้เราไม่ต้องเสียค่าบัตร Smart Card เหมือนตอนขาออก ส่วนรถก็จอดรอเราด้านหน้าเหมือนเดิมครับแต่ครั้งนี้เราต้องรอรถเพราะรถขาเข้าจะต้องมีการตรวจสิ่งของต้องห้ามด้วย หลังจากนี้เรานั่งรถต่อไปจนถึงด่านพรมแดนจุดตรวจจุดสุดท้าย จุดนี้เราจะต้องสะพายกระเป๋าลงไปเพื่อทำการ X-Ray กระเป๋าคนหาสิ่งผิดกฏหมายเหมือนเช่นเคย
เราผ่านจุดตรวจมาได้ด้วยดีเข้าสู่ประเทศไทยแล้วเปลี่ยนซิมการ์ดกันดีกว่า ใครว่าลาวมี 4G แล้วบ้านเรายังไปไม่ถึงไหนเลยลองคิดดูใหม่นะครับ เพราะยังไงๆผมก็ว่าสัญญาณโทรศัพท์บ้านเราดีกว่าบ้านเขาเยอะครับฉะนั้นจงภูมิใจครับ มุ่งหน้าสู่จังหวัดอุดรธานีกันดีกว่าครับ ขอหลับบนรถก่อนนะ
""เวลา 13:30 น."" รถทัวร์เข้าเทียบท่าที่ชานชาลาสถานีขนส่งแห่งที่ 1 จังหวัดอุดรธานี เราลงจากรถนั่งพักผ่อน ล้างหน้าล้างตา ชาร์จแบตเตอร์รี่โทรศัพท์ก่อนและนั่งคุยกันว่าเราจะไปไหนกันต่อดีเพราะกว่าจะถึงเวลาที่เครื่องบินจะบินก็ปาเข้าไปตอน 4 ทุ่มแล้ว จึงมีเวลาให้เราได้เที่ยวบ้างเล็กน้อย หลังจากคุยกันแล้วเราตกลงกันว่าจะไปหาอะไรกินรองท้องกันที่ Central Plaza อุดรธานี เราไปหาอะไรกินกันที่ Food Park ครับ
""เวลา 16:00 น."" เราเดินเท้าออกจากห้างเพื่อมุ่งหน้าไปยัง UD TOWN ซึ่งอยู่ใกล้สถานีรถไฟจังหวัดอุดรธานีเป็นแหล่งรวมตัวของคนในจังหวัดมี ลานเบียร์ , ศูนย์อาหาร รวมถึงมีดนตรีสดให้ฟังกันอีกด้วย คนที่มาที่นี่ส่วนใหญ่ก็มาหาของกินกันหลังเลิกงานมีมากันทั้งเป็นกลุ่มเพื่อนและครอบครัว
เราก็มาหาอะไรกินกันที่นี่ก่อนที่จะเดินทางไปสนามบิน ถือว่าเป็นการส่งท้ายทริปนี้ จากที่เรานั่งสังเกตยิ่งค่ำคนก็ยิ่งเยอะ มีมาการทุกเพศ ทุกวัย ถือว่าเป็นแหล่งรวมคนในสังคมให้ได้มาพบปะสังสรรค์กันรวมถึงเป็นการสร้างรายได้ให้คนในชุมชนอีกด้วย เรานั่งอยู่ที่นี่กันจนมืดเลยครับ
""เวลา 20:30 น."" ถึงตอนนี้ได้เวลาที่จะโบกมือลากันอย่างเป็นทางการแล้ว เราใช้บริการสามล้อหรือว่า Skylab ไปส่งเรายังสนามบินราคา 150 บาทซึ่งถ้าเทียบจากระยะทางถือว่าไม่แพงครับ
""เวลา 22:15 น."" เครื่องบินทำการบินออกจากสนามบินอุดรธานีมุ่งหน้าสู่สนามบินดอนเมือง กรุงเทพฯ
จากอุดรธานีถึงดอนเมืองกรุงเทพนั้นใช้เวลาทำการบินประมาณ 1 ชั่วโมง
""เวลา 23:15 น."" เราเดินทางมาถึงสนามบินดอนเมือง กรุงเทพฯ จากนั้นก็นั่งรถเมล์สาย A1 ต่อไปยัง BTS หมอชิตและขึ้น Taxi ต่อไปยังคอนโดที่อยู่ย่านสาธุประดิษฐ์
""เวลา 24:10 น."" เรากลับมาถึงที่คอนโด โดยสวัสดิภาพ วางกระเป๋าอาบน้ำนอนเพื่อเตรียมพร้อมทำงานในวันถัดไป ถือเป็นการปิดทริปได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยครับ
""สำหรับทริปนี้เราสองคนใช้เงินซื้อความสุขและอยู่กับธรรมชาติทั้งหมด 12,483 บาทถ้วนครับเท่ากับเราใช้เงินไปคนละ 6,241.50 บาท ค่าใช้จ่ายทุกบาททุกสตางค์เรามีการจดบันทึกไว้ทุกครั้งที่มีการนำเงินออกจากกระเป๋า สำหรับทริปนี้ถือว่าเป็นทริปที่เราคุ้มค่ามากทริปหนึ่ง และเราหวังว่าบันทึกการเดินทางครั้งนี้ของเราจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่รักการเดินทางเหมือนเรา""
"คำแนะนำสำหรับไปเที่ยววังเวียงและเวียงจันทร์"
- ต้องเป็นคนรักธรรมชาติเหมือนเราสองคน
- อยากท้าทาย อยากผจญภัย ให้ไปช่วงหน้าฝนจะดีที่สุด
- ถ้าอยากเห็นบลูลากูนให้ไปช่วงไม่มีฝน
- ถ้าเบื่อการนั่งรถไม่ต้องไป ถ้าอยากไปต้องอดทน
- อย่าตั้งความหวังไว้สูงมากเกินไป
- แนะนำให้ซื้อทัวร์จะดีกว่า
- ถ้าซื้อทัวร์ควรถามราคาหลายๆร้านและนำมาเปรียบเทียบกัน
- ซื้อซิมที่ลาวใช้ดีที่สุดและเวลาลงทะเบียนให้ที่ร้านทำให้เพราะเขารู้ดีกว่าเรา
- อย่าคาดหวังความเร็วของ WiFi
- ทำใจเรื่องเครื่องทำน้ำร้อน
- วังเวียงก็เหมือนอำเภอปายบ้านเราต่างกันที่ความเจริญและความสมบูรณ์ของธรรมชาติ
- ถนนหนทางจะทำให้เราแกร่ง
- อย่าทิ้งขยะ เพราะขนาดผมไม่ทิ้งยังไม่มีคนเก็บเลย
"รูปภาพส่งท้าย"
****แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า สวัสดี****