วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สวนผึ้งชายแดนด้านตะวันตก

""สวัสดีครับเพื่อนๆพี่ๆที่เคารพรักทุกท่าน ทริปนี้เราเดินทางมาเที่ยวยัง "จังหวัดราชบุรี" จุดหมายปลายทางของเราในวันนี้อยู่ที่ "อำเภอสวนผึ้ง" ตอนแรกก็คิดว่าจะไปเที่ยวที่ "สัตหีบ" แต่ที่ที่เราเลือกจะไปพักนั้นโทรไปกี่ครั้งๆก็ไม่รับสาย ก็เลยอดได้เงินเรา จึงทำให้เราเปลี่ยนแผนมาเที่ยวที่ราชบุรีแทน ทุกครั้งที่ได้เดินทางไม่ว่าด้วยวิธีไหนๆมันมีความสุขเสมอเพราะมันเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ ได้เรียนสิ่งใหม่ๆ เราจึงรักที่จะเดินทางและท่องเที่ยว เริ่มหัวข้อการเดินทางและการท่องเที่ยวกันดีกว่า ทริปนี้ของเราคือ 2 วัน 1คืน ซึ่งเป็นทริปสั้นๆตามระยะเวลาที่เรามี เราออกเดินทางกันวันที่ 26 กรกฏาคม และจะเดินทางกลับกันวันที่ 27 กรกฏาคม ตอนแรกกะว่าจะออกแต่เช้าหน่อยเพื่อหลงทางแต่เนื่องจากวันที่ 25 กรกฏาคม ผมต้องทำงานรอบดึกกว่าจะเลิกก็ 7 โมงเช้าแล้วก็เลยต้องออกเดินทางสายไปอีกสักนิด !!!!


""วันที่ 26 กรกฏาคม 2559 เวลาประมาณ 08:00 น. เราเดินทางออกจากคอนโดมุ่งหน้าสู่จังหวัดราชบุรี โดยทริปนี้เราวางแผนไว้ว่าจะแวะตามสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดราชบุรีไปเรื่อยๆ ทริปนี้ขับรถมาพร้อมกับความง่วงหลังจากเพิ่งเลิกงานมา เราเดินทางโดยใช้เส้นทางถนนพระรามที่ 2 วิ่งผ่านจังหวัดสมุทรสาคร ต่อด้วย จังหวัดสมุทรสงคราม และมุ่งหน้าสู่จังหวัดราชบุรี แต่ก็มีหลงทางเล็กน้อยซึ่งเป็นเรื่องปกติของมือใหม่หัดขับ อิอิ เราใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงมาจนถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่แรกของเราในทริปนี้และก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อมากไม่ว่าจะเป็นชาวไทยและชาวต่างชาตินิยมมาเที่ยวที่นี่เป็นอย่างมากนั่นก็คือ "ตลาดน้ำดำเนินสะดวก" เราขับรถไปจอดด้านข้างของตลาดน้ำเสียค่าจอดรถ 20 บาท เมื่อจอดรถเสร็จเราก็เดินเที่ยวชมบริเวณรอบๆตลาดน้ำและซื้อของเล็กๆน้อยๆ ถือว่าเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวครับ หลังจากเดินเที่ยวชมบริเวณรอบตลาดน้ำแล้วเราก็หาเช่าเรือนั่งเล่นเพื่อสัมผัสบรรยากาศของพ่อค้า แม่ขายที่พายเรือ ขายข้าวของกัน


เย่ๆ......ได้นั่งเรือแล้ว สนนราคาค่าเรือพายอยู่ที่ 300 บาท เมื่อก่อนผมเคยนั่งที่ราคา 200 บาทแต่เนื่องด้วยยุคสมัยมันได้เปลี่ยนไปราคาค่าบริการและสินค้าต่างๆก็ได้มีการปรับราคาขึ้นซึ่งอันนี้เข้าใจได้ไม่มีปัญหา เรานั่งเรือพายไปเรื่อยๆและใช้เวลาในการนั่งเรือประมาณ 30-45 นาทีสินค้าที่ขายบริเวณตลาดน้ำส่วนใหญ่ก็เป็นจำพวก ของที่ระลึก ของกิน ผลไม้ และงานศิลปะต่างๆ สำหรับเราแล้วถ้าไม่มองในแง่ทางธุรกิจแล้วก็ถือว่าชอบเพราะว่าได้สัมผัสบรรยากาศอีกรูปแบบของการค้าขายของคนในชุมชนที่รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม




นี่เป็นภาพบรรยากาศโดยรอบของ "ตลาดน้ำดำเนินสะดวก" ระหว่างที่เรานั่งเรือเล่นครับชุมชนไทย สังคมไทย อยู่คู่กับสายน้ำมายาวนานแล้ว ซึ่งแต่ละชุมชนก็พยายามรักษาความเป็นดั้งเดิมของชุมชนนั้นๆเอาไว้ให้ได้มากที่สุดอีกทั้งยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนอีกด้วย สักพักเรือจอดเทียบท่าขึ้นจากเรือขึ้นฝั่ง นั่งกินก๋วยเตี๋ยว จัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อนที่จะเดินทางไปเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวต่อๆไป เราออกจากตลาดน้ำเวลาประมาณ 11:45 น. เพื่อมุ่งหน้าสู่ "พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งสยาม" ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นทางผ่านของจุดหมายปลายทางของเราในทริปนี้อยู่แล้ว เราขับรถออกมาจากตลาดน้ำมากจนถึงพิพิธภัณฑ์ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเห็นจะได้ครับ แต่....อนิจจัง !!!! เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งครับเนื่องจาก "พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งสยาม" นั้นอยู่ในขณะที่ปิดปรับปรุงให้บริการชั่วคราว สำหรับที่นี่ผมเคยมาเที่ยวแล้วแต่คนที่มากับผมเขายังไม่เคยมานะซิมันก็เลยแอบเสียดายนิดๆ ผมจะเล่าให้ฟังว่าข้างในพิพิธภัณฑ์เป็นอย่างไร ? มีอะไรบ้าง ? เท่าที่ผมจะนึกได้นะครับ "เนื้อที่ของพิพิธภัณฑ์มีประมาณ 42 ไร่ อัตราค่าเข้าชมเมื่อหลายปีก่อนที่ผมไปนั้นอยู่ที่คนละ 100 บาท ข้างในบรรยากาศร่มรื่นและเย็นสบายเพราะเต็มไปด้วยต้นไม้ สิ่งจัดแสดงด้านในก็จะมีบ้านทรงต่างๆของแต่ละภูมิภาค รูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งของบุคคลสำคัญในยุคต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ" เท่าที่จำได้ก็มีประมาณเท่านี้แหละครับ แต่จริงๆแล้วมีอะไรมากกว่านั้นแหละครับ ในเมื่อปิดให้บริการเราก็ไม่ปล่อยเวลาให้เสียปล่าว เราจึงมุ่งหน้าตรงสู่ "อำเภอสวนผึ้ง" ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเราในทริปนี้ครับ 


กันพลาดเลยต้องพึ่ง Google Map ในการเดินทางครับเพราะครั้งแรกผมกะจะใช้ความจำของผมเมื่อ 10 ปีที่แล้วพยายามนึกถนนหนทางแต่เนื่องด้วยกาลเวลามันผ่านมาค่อนข้างนานแล้วและประกอบกับมีความเจริญเข้ามาทำให้เส้นทางเปลี่ยนไปพอสมควรเล่นเอาผมถึงกับ งง ไปเลย จากอำเภอเมืองราชบุรี ถึง อำเภอสวนผึ้งระยะทางประมาณ 60-80 กิโลเมตรครับ ระหว่างขับรถไปนั้นสองข้างทางก็เต็มไปต้นไม้เขียวขจีเห็นแล้วสบายตา ชื่นใจปอดมาก ก่อนถึงอำเภอสวนผึ้งมีสถานที่ท่องเที่ยวที่หนึ่งที่ผมเคยได้ยินแต่ชื่อแต่ไม่เคยมาเที่ยวที่นี่เลยและอยากเห็นมากว่ามันเป็นอย่างไง


นั่นก็คือ "โป่งยุบ" ซึ่งพอมาถึงก็ปิดอีกซะงั้น ซวยจริงๆ แต่ก็เข้าใจครับเพราะมันเป็นช่วงวันธรรมดา นักท่องเที่ยวก็น้อยเป็นธรรมดา แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเพิ่งรู้นั่นก็คือที่ "โป่งยุบ" เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ในที่ดินของเอกชน ถ้าใครอยากรูว่า "โป่งยุบ" เป็นอย่างไรให้ลองหา Seach Google ดูครับแต่เห็นมีคนบอกว่าลักษณะคล้ายกับ "แพะเมืองผี" ที่จังหวัดแพร่ เท่าที่รู้ลักษณะจะเป็นพื้นที่ที่เคยถูกกัดเซาะของน้ำฝนและน้ำใต้ดิน รวมถึงการยุบตัวของพื้นดินเป็นเวลานานหลายร้อยปี มีเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ครับ ไม่มีรูปให้ดูนะเพราะเขาปิดเข้าไปไม่ได้ หลังจากนั้นเราก็เดินทางไปกันต่อ เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงเศษๆ เราก็เดินทางมาถึง "อำเภอสวนผึ้ง" เมื่อเดินทางมาถึงที่นี่มันทำให้ผมนึกถึงเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เนื่องจากผมเคยฝึกงานและเคยทำงานอยู่ที่นี่ การกลับมาครั้งนี้มันเลยอดคิดถึงภาพในอดีตไม่ได้แต่ปัจจุบันรีสอร์ทที่ผมเคยทำงานเขาได้เปลี่ยนชื่อไปละและแอบเห็นมีการปรับปรุงทั้งห้องพักและสถานที่โดยรอบไปมากพอสมควรครับ ไปต่อกันดีกว่า เมื่อเดินทางมาถึงอำเภอแล้วก่อนเข้าที่พักของเราในทริปนี้ เราจึงตัดสินใจที่จะแวะหาซื้อของกินและของใช้เล็กๆน้อย เข้าไปด้วยเลยเพราะในช่วงเวลาที่เราไปถึงก็บ่ายคล้อยแล้วอีกอย่างมีเมฆมากเหมือนฝนจะตกด้วย และเมื่อซื้อของกินของใช้เราก็เดินทางไปยังที่พักของเราที่เราจะพักกันคืนนี้กันครับ นั่นก็คือ คือ คือ คือ คือ ?


ที่นี่ครับ "บ้านอ้อมกอดขุนเขารีสอร์ท" ครับ เนื่องจากเป็นวันธรรมดาที่รีสอร์ทก็ค่อนข้างเงียบเป็นธรรมดาครับ เราเข้า Check in ตอนเวลาบ่าย 2 โมงกว่าๆ สนนราคาค่าห้องอยู่ที่ 2,000 บาทแต่ทางรีสอร์ทมีส่วนลดให้เรา 30% ราคาห้องจึงลดลงเหลือ 1,400 บาทรวมอหารเช้าด้วยครับ สาเหตุที่เราได้ส่วนลด 30% นั้นก็เพราะว่าทางรีสอร์ทเปิดครบ 10 ปีจึงมีส่วนลดให้ลูกค้า เหนื่อยๆอยากทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้ว หลังจาก check in เสร็จแล้วพนักงานก็พาเรานั่งรถกอล์ฟไปส่ง เนื่องจากรีสอร์ทกว้างใหญ่พอสมควรถ้าเดินก็เหนื่อยใช้ได้เหมือนกัน 


เราเลือกห้องพักที่ชื่อว่า "ช่ออัญชัญ" เบอร์ห้อง 109 ครับ สำหรับวันที่เราไปพักนั้นมีลูกค้าทั้งหมด 3 ห้องครับรวมเราด้วยแล้วทำให้รู้สึกมีความเป็นส่วนตัวมากจนเหงาไปเลย 55555 ตามเรามาครับเดี๋ยวจะพาดูห้องที่เราจะพักกันคืนนี้กันครับ

   
 

นี่เป็นลักษณะห้องพักภายนอกของเราวันนี้ครับ.....ยิ่งเห็นก็ยิ่งอยากนอน พนักงานขับรถพาเรามาส่งจนถึงหน้าห้องพักเลยครับ จากนั้นก็เปิดประตูและเปิดแอร์ให้เรา พอเรียบร้อยทั้งหมดผมก็กะจะกระโดดขึ้นเตียงซักหน่อยแต่เอาไว้ก่อนขอเดินถ่ายรูปภายในห้องพักก่อนดีกว่าเผื่อใครสนใจจะมาเที่ยวที่นี่เหมือนเราสองคน


รูปเตียงนอนของเราคืนนี้ครับ เห็นแล้วคนอดนอนอย่างผมแทบจะอดใจไม่ไหว เท่าที่ลองสัมผัสดูเตียงนุ่มน่านอนมากเลย

   


และนี่เป็นภาพบรรยากาศภายในห้องน้ำครับ ทั้งห้องก็จะถูกตกแต่งไปด้วยโทนสีม่วง ตามชื่อของห้องพักนั่นก็คือ "ช่ออัญชัญ" ครับ ภายในห้องยังมี โทรทัศน์ , เครื่องเล่นดีวีดี , ไดร์เป่าผม , ตู้เย็น , มินิบาร์ และอื่นๆตามที่ห้องพักส่วนใหญ่ควรจะมีครับ เดี๋ยวเราจะพาไปดูบรรยากาศภายนอกห้องพักบ้างครับ



ที่ "บ้านอ้อมกอดขุนเขารีสอร์ท" ถูกห้อมล้อมไปด้วยภูเขาจึงเป็นที่มาของชื่อรีสอร์ท ณ วันที่เราไปมีเมฆค่อนข้างมาก เราภาวนาอยากให้ฝนตกจะได้หลับสบาย ไปดูในส่วนอื่นกันต่อดีกว่าครับ




ส่วนตรงนี้เป็นในส่วนด้านบนของห้องพักมีโต๊ะ เก้าอี้ ให้นั่งด้วยถ้ามาเป็นกลุ่มเป็นแก็งส์น่าจะสนุกดี หลังจากเราพาเดินดูและถ่ายรูปบริเวณในห้องพักและภายนอกห้องพักเราก็ใช้เวลาที่เหลือในการจัดข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง คนหนึ่งจัดไป ส่วนตัวผมขอนอนพักเอาแรงสักหน่อยครับ แต่ขอบอกว่านอนไม่หลับครับ จากนั้นเราจึงเลือกที่จะไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ในอำเภอสวนผึ้งกันต่อ เนื่องจากเรามีเวลาแค่วันเดียวดังนั้นเราจึงต้องเที่ยวให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และสถานที่ท่องเที่ยวของเราที่ต่อไปนั่นก็คือ "ธารน้ำร้อนบ่อคลึง" อยู่ห่างจากที่เราพักประมาณ 15 กิโลเมตรเห็นจะได้ เราขับรถไปตามป้ายบอกทางรับรองไม่หลงแน่นอนครับ เราใช้เวลาเดินทางจากรีสอร์ทที่พักจนถึงธารน้ำร้อนประมาณ 20 นาทีครับ ขับรับลมไปเรื่อย สองข้างทางเต็มไปด้วยธรรมชาติที่เขียวขจี 


ภาพระหว่างทางที่เราขับรถกันไปธารน้ำร้อนครับ ตามที่บอกเมื่อข้างต้นครับเราใช้เวลาเดินทาง 20 นาทีก็เดินทางมาถึงจนได้ครับ เงียบเหมือนเคนยครับ ถึงแล้วจอดรถจากที่จอดรถเราต้องเดินเข้าไปอีกนิดหน่อยก็ถึงบ่ออาบน้ำครับแต่ก่อนเข้าไปเราต้องซื้อตั๋วก่อนครับ


ราคา 5 บาทครับ ราคานี้เป็นราคาเดียวกับเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่ผมเคยอยู่ที่นี่เห็นบัตร ราคาแล้วผมนี่แอบยิ้มเลยเพราะทุกอย่างยังเหมือนเดิมมากๆ ที่ "ธารน้ำร้อนบ่อคลึง" มีบ่อให้นักท่องเที่ยวได้ลงไปแช่ตัวด้วยกัน 2 บ่อบ่อแรกเป็นบ่อที่อยู่ด้านล่างเป็นบ่อปูนธรรมดาแต่วันที่เราไปนั้นปิดปรับปรุง ส่วนอีกบ่อจะอยู่ด้านบนเดินขึ้นไปนิดหน่อยเป็นบ่อที่มีการปูกระเบื้อง ราคาเข้าไปแช่น้ำร้อนนั้นอยู่ที่คนละ 50 บาทครับ น้ำร้อนที่นี่เป็นเป็นร้อนที่เกิดจากธรรมชาติและมีแร่ธาตุที่ดีต่อร่างกายผสมอยู่ด้วยดังนั้นผู้คนจึงนิยมไปกันที่นี่ครับ ที่ธารน้ำร้อนนี้เป็นที่ดินของเอกชนนะครับ


อันนี้เป็นข้อมูลที่เราเพิ่งรู้ว่าธารน้ำร้อนที่นี่ถูกค้นพบเมื่อ 91 ปีที่แล้วไม่คิดมาก่อนเลยว่ามันจะถูกค้นพบมาเนิ่นนานแล้ว หลังจากซื้อตั๋วเพื่อเข้าไปแช่น้ำแล้วเราก็เดินไปยึงบ่อน้ำร้อนที่อยู่ด้านบนกันครับ เปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างเนื้อล้างตัวเพื่อจะลงไปแช่ในบ่อน้ำร้อน 


น้ำที่ไหลพุ่งออกมาเขาต้อท่อมาจากตาน้ำร้อนที่อยู่ด้านบน มีโต๊ะให้นั่งพักระหว่างแช่น้ำด้วยครับ ส่วนอุณหภูมิของน้ำที่อยู่ในบ่อนั้นประมาณ 45 องศาเซลเซียส ซึ่งเท่าที่ผมรู้และเคยมาแช่น้ำแร่ที่นี่เมื่อ 10 ปีที่แล้วอุณหภูมิของน้ำแร่ที่นี่อยู่ที่ 50-55 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิมันลงลดผมละแช่สบายเลย


ตอนแรกก็ร้อนนะ แต่หลังจากที่ร่างกายเราปรับสภาพได้ก็แช่ได้ตามสบาย คำแนะนำในการแช่น้ำแร่ที่นี่เขาให้แช่ได้นานประมาณ 5-10 นาทีแล้วขึ้นมาพักแล้วค่อยลงไปแช่ใหม่ไม่แนะนำให้แช่เป็นเวลานานเพราะอาจทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าจนเกิดไปและเป็นลมได้ในที่สุด เราสองคนใช้เวลาในการแช่น้ำแร่ที่บ่อคลึงประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนที่จะเดินทางกลับไปยังที่พักครับ แต่ก่อนกลับไปยังที่พักเราแวะตลาดในตัวอำเภอสวนผึ้งเพื่อหาซื้อของกินเข้าไปยังที่พักซึ่งเป็นอาหารเย็นของเราในเย็นนี้ ซื้อของกินเสร็จก็กลับมายังที่พักและเราก็จัดแจงสถานที่สำหรับอาหารเย็นของเราในวันนี้ เรานั่งกินอาหารเย็นและดื่มเบียร์กันหน้าห้องพัก

 

บรรยากาศในยามค่ำคืนครับ ต้องขอบอกว่าถ้าไม่ได้ซอฟเฟลล์เราคงโดนยุงรุมกันเป็นแน่ แต่ย้าย่งจะเยอะแค่ช่วงหัวค่ำเท่านั้นพอมืดๆดึกๆ ก็ไม่ค่อยมีแล้ว เราสองคนนั่งกินดื่มกันไปเรื่อยๆจนถึงเวลาเที่ยงคืนก็ถึงเวลานอนแล้ว เนื่องจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว และตั้งนาฬิกาปลุกตอน 07:30 โมงเช้าเพื่อจะได้ทันอาหารเช้าครับ สำหรับตอนนี้ได้เวลานอนแล้ว "Good Night" แล้วเจอกันพรุ่งนี้เช้าครับ

""วันที่ 27 กรกฏาคม 2559 เวลาประมาณ 07:30 น." นาฬิกาปลุกดังสนั่นห้อง ต้องตื่นแล้วซิเรา แต่กว่าจะลุกออกจากเตียงได้ก็บิดแล้วบิดอีกแต่ก็ต้องลุกเพราะตั้งใจจะกลับช่วงสายๆไม่อยากไปถึงที่กรุงเทพฯจนเย็นค่ำมากจนเกินไปเพื่อจะหนีการจราจรในเมืองใหญ่ หลังจากตื่นล้างหน้าล้างตากันแล้วก็ออกมาสัมผัสบรรยากาศภายนอกห้องพักในยามเช้า มันช่างเป็นอะไรที่มีความสุขมากบรรยากาศช่างแสนดี อากาศช่างบริสุทธิ์เหลือเกิน เดินตามแผนที่เราวางไว้กันต่อ ไปเล่นน้ำกันเร็ว !!!!!!


"สายน้ำ ภูเขา และ สองเรา" มันช่างเป็นอะไรที่สดชื่นมากๆ เราเล่นน้ำที่สระว่ายน้ำของรีสอร์ทตั้งแต่เช้าจนถึง 8 โมงเช้ากว่าๆ ก็กลับไปอาบน้ำที่ห้องพักเพื่อเตรียมตัวไปกินอาหารเช้ากัน หลังจากว่ายน้ำใช้พลังไปเยอะถึงตอนนี้ก็เริ่มหิวละ พออาบน้ำกันเสร็จก็เก็บกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวกลับเอาไว้ล่วงหน้าจะได้ไม่เสียเวลา วันนี้เป็นที่ชิวๆไม่แพลนเดินทางไปไหนต่อแล้วก็อาจจะมีแวะตามสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นทางผ่านระหว่างที่เราเดินทางกลับเท่านั้น เอาล่ะ.....อาบน้ำเสร็จ เก็บของบางส่วนเสร็จได้เวลากินข้าวเช้าแล้วหิวๆ


ร้านอาหารอยู่ด้านบนครับต้องเดินขึ้นไปจากทางที่เราเดินมาจากห้องพักอีกนิดหน่อย เราเลือกที่จะเดินจากห้องพักไปยังร้านอาหารเพราะเราอยากเดินชมบริเวณโดยรอบของรีสอร์ทไปด้วย




อาหารเช้าที่รีสอร์ทจะมีเมนูมาให้เลือกเป็นชุดๆแต่ถ้าไม่อิ่มสามารถสั่งเพิ่มได้แบบว่าไม่อั้นอ่ะครับ "unlimited" อาหารที่เราสั่งมาก็จะมี ข้าวต้มหมู , ข้าวต้มกุ้ง , ขนมปัง แยม เนย , ชุด American Breafast , ผลไม้ และเครื่องดื่มต่างครับ สำหรับรสชาติอาหารถือว่าอร่อยใช้ได้เลยครับ แต่สำหรับที่สั่งเพิ่มได้นั้นต้องลองถามกับทางรีสอร์ทอีกครั้งครับเพราะช่วงที่เราไปเป็นช่วงกลางสัปดาห์ลูกค้าน้อยจึงสามารถทำได้แต่ถ้าในช่วงที่ลูกค้าเต็มอาจจะเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ก็ได้ครับ เราว่าแบบนี้ก็ดีนะลูกค้าน้อยเติมได้ตลอด ลูกค้าเยอะเป็นบุฟเฟ่ต์ ช่วงที่เรากินข้าวเช้ากันอยู่นั้นมีเพียงเราสองคน มันช่างเป็นอะไรที่มีความเป็นส่วนตัวมากๆ


พอกินข้าวเช้าเสร็จก็แวะถ่ายรูปบริเวณร้านอาหารกันสักหน่อยเดี๋ยวเขาจะว่าได้ว่ามาไม่ถึง อิอิ ถ่ายกันหลายรูปหลายช็อตครับแต่เอามาให้ดูกันแค่หอมปากหอมคอพอ พอถ่ายรูปกันเสร็จก็เดินกลับห้องพักกันต่อเพื่อเตรียมตัวกลับเข้าสู่เมืองใหญ่อีกครั้ง พอถึงห้องก็ตรวจเช็คความเรียบร้อย ตรวจดูข้าวของภายในห้องพัก เนื่องจากข้าวของบางส่วนเราถือไปเก็บไว้ที่รถแล้วตอนที่เดินไปกินข้าวเช้าจึงเหลือข้าวของเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เราจึงคิดกันว่าระหว่างทางที่เราเดินไปที่รถนั้นเราจะน่าแวะถ่ายรูปบรรยากาศโดยทั่วไปของรีสอร์ทกันดีกว่า งั้นก็อย่าช้าทีไปกันถ่ายรูปกันเลยดีกว่า




รูปภาพดังกล่าวที่เราถ่ายมานั้นเป็นกิจกรรมบางส่วนที่มีอยู่ภายในรีสอร์ทเพื่อเตรียมไว้ให้บริการลูกค้าที่เข้ามาพักในรีสอร์ท กิจกรรมภายในรีสอร์ทที่เราเห็นชัดๆก็จะมีดังนี้ครับ
-ยิงธนู ค่าบริการ 50-100 บาท
-ขี่ม้า   ค่าบริการ 100 บาท
-ปั่นจักรยาน 
-เปตอง
ถ่ายรูปกิจกรรมเสร็จเราก็เดินไปถ่ายรูปในมุมอื่นๆของรีสอร์ท บรรยากาศโดยรอบมันช่างเขียวขจีเหลือเกินเนื่องจากได้รับความชุ่มชื่นจากสายฝน 


มุมนี้ก็มีชิงช้าให้นั่งเล่นซะด้วยแต่ไม่รู้ว่าถ้านั่งหลายคนพร้อมกันต้นไม้จะหักมั้ย อิอิ หวังว่าต้นไม้คงจะแข็งแรงพอนะครับ


และตรงนี้ก็จะเป็น "เก้าอี้บอกสถานะ" ใครอยากนั่งตรงไหนเลือกเอาเลยครับ ส่วนเราทั้งคู่คงต้องนั่งทางด้านขวาอ่ะครับ ส่วนด้านหลังที่เห็นก็เป็นในส่วนของห้องพักและในโซนนั้นก็จะมีสระว่ายน้ำให้ด้วยครับถ้าไปเป็นหมู่คณะหรือเป็นครอบครัวใหญ่ๆก็คงจะดี



ป้ายชื่อรีสอร์ทตั้งอยู่ตรงกลางของรีสอร์ทเลยครับ ถ้ายืนอยู่บริเวณห้องพักก็สามารถเห็นได้ครับ ในช่วงที่เรากำลังเดินถ่ายรูปบริเวณรีสอร์ทอยู่นั้นก็จะได้ยินเสียงพนักงานกำลังทำงาน ตัดหญ้า ตัดกิ่งไม้ และทำความสะอาดโดยรอบเพื่อเตรียมความพร้อมต้อนรับลูกค้าในช่วงสุดสัปดาห์ หลังจากเดินถ่ายรูปจนเป็นที่พอใจแล้วเราก็เดินไปทำการ check out เพื่อเดินทางกลับครับ
""เวลา 11:50 น." หลังจากที่เราทำการ check out เรียบร้อยแล้วเราก็ขับรถออกจากรีสอร์ท คั้งแรกเรากะจะไปแวะกินส้มตำริมน้ำที่สามารถนั่งเอาขาจุ่มน้ำได้แต่ด้วยความอิ่มที่ยังถูกอัดแน่นไว้ตั้งแต่มื้อเช้าเราเลยทำการยกเลิกไปและขับรถมุ่งหน้าไปยังที่เที่ยวที่สุดท้ายที่เราจะแวะเป็นที่สุดท้ายนั่นก็คือ "บ้านหอมเทียน" เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนววินเทจย้อนยุคสักนิดและก็ขายของฝากและส่วนใหญ่ของฝากที่นี่ก็จะเป็นเทียนหอมรูปทรงต่างๆครับและอื่นๆอีกมากมาย



นี่เป็นภาพถ่ายด้านหน้าบ้านหอมเทียนครับเพราะว่าเราไม่ได้เข้าไปด้านในครับเนื่องจากต้องเสียบัตรค่าผ่านประตูคนละ 50 บาทซึ่งเราคิดว่าข้างในก็มีเพียงแต่ร้านค้า เราตัดสินใจไม่เข้าไปด้านใน แต่เราคิดกันว่าสาเหตุที่มีการเก็บค่าบริการก็น่าจะเป็นเพราะว่านักท่องเที่ยวที่เข้าไปเที่ยวคงเน้นแต่ถ่ายรูปไม่เน้นซื้อของฝากจึงมีการเก็บค่าเข้าชม อันนี้เราคิดกันเองนะครับ ขำๆไม่ซีเรียสนะครับ


ร้านของฝากที่อยู่ด้านหน้าทางเข้าของบ้านหอมเทียนครับ เราเลือกซื้อของฝากกันที่นี่แหละครับ เราเลือกซื้อเทียนกลิ่นต่างๆ กลับมาเพื่อใช้เองและเป็นของฝากครับ หลังจากที่เราซื้อของฝากเรียบร้อยแล้ว เราก็ขับรถกันต่อแต่ขณะที่เราขับรถกลับกันนั้นเราก็เกิดอาการหิวขึ้นมาทันที คิดดูอีกทีแวะหาร้านกินจากที่นี่ไปเลยดีกว่าเดี๋ยวไปเจอรถติดในเมืองใหญ่แลัวถ้าเกิดหิวขึ้นมาตอนนั้นขึ้นมาจะแย่เอา เราจึงตัดสินใจที่จะแวะหาร้านส้มตำกินกัน เราจึงขับรถแวะที่ตัวอำเภอจอมบึงเพื่อแวะกินข้าวกันและแล้วเราก็เจอร้านที่เราจะฝากท้องมื้อกลางวันแล้วนั่นก็คือ "ร้านอีสานแซ่บ" เมื่อจอดรถเสร็จก็ไม่รอช้ารีบหาโต๊ะนั่งและทำการสั่งอาหารทันที


เมนูอาหารของเรามื้อนี้ดูตามภาพเอาเองครับ รสชาติอาหารที่ร้านถือว่าใช้ได้ครับ อีกอย่างโชคดีของเราด้วยเพราะช่วงที่เราไปกินนั้นเกือบบ่ายแล้วทำให้คนในร้านไม่เยอะเลยไม่ต้องรอนาน หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จเราก็มุ่งหน้าเพื่อกลับกรุงเทพฯกันต่อเลยครับ เราเดินทางออกร้านส้มตำก็เกือบบ่าย 2 โมงแล้ว บ๊าย บ่ายราชบุรี
""เวลา 16:30 น."" เราใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งจากจังหวัดราชบุรีมาจนถึงกรุงเทพฯครับ ถึงแล้วก็เก็บของขึ้นห้องพักและนอนพักผ่อน และนี่ก็เป็นอีกทริปหนึ่งที่ "เที่ยวทั่วไทยไปได้ทุกเดือน" ได้ไปเที่ยวกันอีกหนึ่งทริปและนำข้อมูลที่น่าสนใจมาฝากเพื่อนๆพี่ๆที่สนใจและรักการเดินทางเหมือนกับเรา

""คำแนะนำในการเที่ยวราชบุรีครั้งนี้""
-ระหว่างทางที่ไปควรขับรถด้วยความระมัดระวังเพราะเส้นทางที่ใช้ในการเดินทางรถบรรทุกเยอะมาก
-ควรศึกษาเส้นทางก่อนออกเดินทางทุกครั้ง
-อย่าคาดหวังอะไรมากจนเกินไป
-ไม่ต้องกลัวว่าสวนผึ้งจะกันดาร เพราะเขาพัฒนาแล้ว
-ถ้าไม่ชอบสัตว์เลื้อยคลานให้ไปฤดูอื่นอย่าไปฤดูฝน โชคดีผมไม่เจอกิ้งกือ
-ถ้าไปกลางสัปดาห์เราจะได้ความเป็นส่วนตัวมาก ซึ่งบางทีมากจนเหงา

""รูปภาพส่งท้าย""







ทุกครั้งที่เราได้เดินทางนั่นคือความสุขของเราและที่ผมเขียน Blog ขึ้นมาเพื่อเป็นการบันทึกความทรงจำ บันทึกเรื่องราวที่เราได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆไม่ว่าจะที่ไหน อีกทั้งยังเป็นการบอกให้รู้ว่าเมืองไทยเรามีที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมายและรอให้พวกเราไปค้นหาอยู่ สำหรับข้อมูลทริปนี้เราหวังลึกๆว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับบุคคลที่รักการเดินทาง แล้วพบกันใหม่ "เที่ยวทั่วไทยไปได้ทุกเดือน"



***********************************************_สวัสดี_*****************************************************