""สวัสดีครับเพื่อนๆพี่ๆ และน้องๆทุกท่านหลังจากผมหายหน้าหายตาไปนานในการเขียนเรื่องเล่าจากประสบการณ์การท่องเที่ยวของผมนั้น ครั้งนี้ผมได้มีโอกาสรวมตัวกับกลุ่มเพื่อนๆที่บ้านเกิดไปผจญภัยกันที่ "อุทยานแห่งชาติพุเตย" ซึ่งโดยปกติแล้วผมมักจะเดินทางไปเที่ยวกับแฟนผมซะส่วนใหญ่ ครั้งนี้พวกเราไปกันทั้งหมด 8 คน นัดหมายที่จะออกเดินทางกันวันที่ 12 ธันวาคม 58 พัก 1 คืน พวกเรารวบรวมเงินเพื่อจะเตรียมข้าวของขึ้นไปทำกินกันที่ด้านบนของอุทยานที่พวกเราจะไปกางเต็นท์กัน "อุทยานแห่งชาติพุเตย" ตั้งอยู่ที่อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนพวกเราก็เป็นคนสุพรรณฯเช่นกัน แต่อยู่ที่อำเภอเดิมบางนางบวช อ่อๆลืมมีสาวเชียงรายด้วย 1 คน พร้อมแล้วออกเดินไปกับพวกเราได้เลสครับ
พวกเราออกเดินทางจากบ้านเวลาประมาณ 13:00 น. มุ่งหน้าสู่ "อุทยานแห่งชาติพุเตย" ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลวังยาว อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งต้องบอกก่อนว่าจากสี่แยกไฟแดงในตัวอำเภอจะมีป้ายบอกตลอดทางและสามารถไปได้หลายทาง พวกเราตัดสินใจกันแล้วว่าจะวิ่งไปทางเส้นหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรี ต้องบอกก่อนนะครับว่าทริปนี้ในกลุ่มพวกเราทั้ง 8 คน ไม่เคยมีใครเดินไปที่นี่มาก่อนเลยดั้งนั้นเมื่อไม่มีใครรู้ทางที่แท้จริงเราจึงเลือกเดินทางตามป้ายบอกทางเอาซึ่งไม่ใช่ปัญหาในการเดินทางมาที่นี่เลยเพราะตลอดทางที่พวกเราขับรถมานั้นมีป้ายบอกทางเป็นระยะๆ ผมวัดระยะทางจากสี่แยกไฟแดงในตัวอำเภอจาก Google Map ระยะทางจากตรงนั้นประมาน 75-80 กิโลเมตร พวกเราเดินทางชั่วโมงเศษๆก็มาถึงที่ทำการอุทยานจุดที่ 1
จุดที่ 1 นี้จะเป็นจุดที่มีบ้านพักบริการ (แต่วันที่เราไปห้องพักเต็ม) และมีลานให้กางเต็นท์ด้วยเช่นกัน มีเวทีการแสดง วันที่พวกเราไปนั้นก็เห็นมีผู้คนมากางเต็นท์กันอยู่หลายคน จุดที่ 1 นี้ยังเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวต้องแวะมาชำระค่าทำเนียมของอุทยาน รู้สึกว่าวันนั้นพวกเราจ่ายไปทั้งหมด 350 บาทเพราะจุดหมายปลายทางของพวกเราไม่ได้อยู่กันที่จุดนี้ จุดหมายของพวกเราคือ "ลานกางเต็นท์ตะเดินคี่" ซึ่งต้องขับออกมาจากตัวอุทยานจุดที่ 1 แล้วเลี้ยวขวาไปอีกประมาณ 25-30 กิโลเมตร ซึ่งถ้าใครไม่เลี้ยวเข้าอุทยานจุดที่ 1 ก็สามารถวิ่งตรงไปได้เลย แต่ยังไงๆเจ้าหน้าที่เขาก็จะขอดูใบเสร็จที่เราชำระเงินมาจากจุดที่ 1 อยู่ดีครับ
ก่อนออกเดินทางจากจุดที่ 1 นั้นมีพี่เจ้าหน้าที่ผู้หญิงท่านหนึ่งถามกับพวกเราว่า
เจ้าหน้าที่อุทยาน : "จะขึ้นไปข้างบนอ่ะเตรียมของใช้ อาหารการกิน น้ำดื่มเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย"
OK Group. : "ใช่ครับ"
เจ้าหน้าที่อุทยาน : "ก็ดีแล้ว......อะไรขาดเหลือก็ตรวจดูให้ดีก่อนขึ้นแล้วกัน"
OK Group. : "อ่อๆ..... แล้วพี่ปิดกี่โมงครับ"
เจ้าหน้าที่อุทยาน : "ในประวัติศาสตร์นะ......ถ้าขึ้นไปแล้วไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนเขาย้อนกลับลงมาซื้อของกันหรอก" (คือผมอยากให้ท่านผู้อ่านได้เห็นหน้าเจ๊แกมาก หน้าตาท้าทายพวกเรามาก)
OK Group. : "พวกเราคิดกันในใจว่า รู้จักพวกผมน้อยเกินไปเสียแล้ว" (ยังไม่รู้อนาคต)
หลังจากสนทนากันอยากออกรสออกชาติ ประหนึ่งมีการท้าทายเกิดขึ้นเล็กๆพวกเราก็มิรอช้ามุ่งหน้าต่อไปยังจุดหมายปลายทาง อ่อๆก่อนออกจากอุทยานจุดที่ 1 ผมมองเห็นป้ายป้ายหนึ่งซึ่งมันทำให้ผมนึกถึงเรื่องในวัยเด็กที่มีสายการบินสายหนึ่งเกิดระเบิดขึ้นและตกในเขตป่าบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นโศกอนาฏกรรมที่โด่งดังมากนั้นสมัยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2534 มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 223 ศพ โดยผู้เสียชีวิตทั้งหมดเดินทางด้วยสายการบิน LAUDA AIR เที่ยวบินที่ NG004 ได้ออกเดินทางจากท่าอากาศยานดอนเมืองมุ่งหน้าสู่สนามบินนานาชาติเวียนนา ประเทศออสเตรีย เขียนแล้วเศร้าใจนะ
เดินทางกันต่อดีกว่าครับ อย่างที่เกริ่นไปตอนแรกเราออกมาจากอุทยานจุดที่ 1 แล้วเลี้ยวขวาขับไปตามทางเรื่อยๆตลอดทางเป็นถนนลาดยาง ขับสบาย บางช่วงอาจมีหลุดมีบ่อบ้างขับตามป้ายบอกทางไปเรื่อยเลยครับแล้วสุดทางที่ป้ายบอกก็จะถึงทางขึ้น "ลานกางเต็นท์ตะเพิ่นคี่" จากปากทางขึ้นไปด้านบนประมาณอีก 13 กิโลเมตร น่าจะเป็นกิโลแม้วมากกว่า ผมต้องขอบอกกาอนเลยนะครับว่ารถกระบะดีที่สุดและอีกอย่างเที่ยวมาก็หลายที่มีที่นี่แหละทางขึ้นทรมานที่สุดระวังทางก็มีรถหลายคันกำลังมุ่งหน้าขึ้นไปด้านบนกัน พร้อมแล้วลุยกันเลย
นี่แหละครับทางขึ้นและนี่ก็แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นครับ พวกเราแวะถ่ายรูปกันก่อนครับ เพราะดูทรงแล้วข้างหน้าทางลาดชันน่าจะจอดรถลำบากแน่นอนครับ สังเกตุจากรถแต่ละคันแล้วเต็มไปด้วยอาหาร น้ำดื่ม และอุปกรณ์ประกอบอาหาร พวกเราก็เตรียมไปเช่นกันครับ ต้องขอบอกเลยว่าครบครันไม่ได้กลัวหิว ขอแจกแจงข้าวของที่เราเตรียมไปวันนั้นกันก่อนเลยนะครับก็มี หมูหมัก , เนื้อหมัก , น้ำจิ้ม , มาม่า, น้ำแข็ง 1 ถังขนาดกลาง , ลูกชิ้นปิ้ง , ไข่ , มัน , เบียร์ 2 แพ็คเกจ , เต็นท์ 5 หลัง , ผ้าใบปูใต้เต็นท์และปูนั่งกัน 5 ผืน , แก๊สปิคนิค , เตาย่าง , เหล็กย่าง , หม้อต้ม , มีด , ถ่านก่อไฟ , ไฟแช็ค , ผ้าเย็น(เผื่อไม่ได้อาบน้ำ) , เครื่องดื่มอื่น , แปลงสีฟันยาสีฟัน ฯลฯ บอกตรงเลยนะครับว่าทางขึ้นรถนี่แทบจะสวนกันไม่ได้เลย บางช่วงแคบมากๆและทางก็มีแต่ร่องน้ำทำให้การขับขี่รถเป็นไปด้วยความลำบาก พอขับไปสักระยะเราก็มาเจอป้ายนี้ครับ
เห็นภาพนี้แล้วทุกถคนถึงกับยิ้มเลยครับคิดในใจก็ไม่ได้โหดอย่างที่คิด ที่ไหนได้มันแค่การเริ่มต้นเท่านั้นยาวไปๆลูกพี่ พอมาถึงตอนนี้นึกถึงคำพูดพี่เจ้าหน้าที่อุทยานเลยครับ "ในประวัติศาสตร์ไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนขึ้นไปแล้วกลับลงมาซื้อของหรอก" รู้แล้วทำไมพี่แกถึงมั่นใจกับพูดของแกมากขนาดนั้น ประมาณไม่เจอกับตัวมึงไม่รู้หรอก อยากจะบอกว่ารู้แล้วครับ
เป็นยังไงบ้างครับ........นี่คือภาพบางส่วนของการเดินทางขึ้นไป "ลานกางเต็นท์ตะเพลินคี่" ถ่ายต่อไม่ไหวครับใจอยากได้มากกว่านี้แต่กลัวอ้วกแตก ระหว่างทางเราก็จะผ่านน้ำตกตะเพินคี่เล็กและน้ำตกตะเพินคี่ใหญ่ แต่ต้องเดินจากทางเข้าไปในป่าอีกประมาณ 500 เมตรครับ ซึ่งผมคิดว่าถ้าเราจอดรถแล้วเดินไปดูคงไม่สะดวกแน่เพราะถ้ามีรถตามหลังมาเขาจะไปกันไม่ได้ แต่ก็มีคนบอกว่าจากจุดน้ำตกสามารถไปยังลานกางเต็นท์ที่เราจะไปกันได้แต่ต้องให้เจ้าหน้าที่เป็นคนนำทางครับ ตรงทางเข้าน้ำตกนี้พวกเราไม่ได้แวะเพราะใจอยู่ที่ลานกางเต็นท์แล้วอีกอย่างกลัวไม่มีที่ว่างเหลือไว้ให้พวกเรา พวกเราใช้เวลาเดินทางจากด้านล่างทางขึ้นมายังจุดกางเต็นท์ด้านบนใช้เวลาทั้งสิ้น 2 ชั่วโมงเศษๆ พอมาถึงปุ๊บก็ไม่รอช้าเพราะนัดแนะกันตั้งแต่ในรถแล้วว่าถ้าถึงให้รีบวิ่งไปดูที่กางเต็นท์ก่อนเลยหนึ่งคน แต่ก่อนจอดรถพวกเราเห็นแล้วหล่ะครับว่ารถเยอะมากๆเกิบเต็มที่จอดรถแล้ว พอจอดรถก็วิ่งไปดูที่กางเต็นท์เดินดูบริเวณริมๆจะได้ดูวิวสวยแต่ก็ช้าไปซะแล้วเต็มหมดครับ พวกเราจึงเลือกจุดนี้ถือว่าดีสุดล่ะเท่าที่มีเหลืออยู่ ช้าอย่าอยู่ใยช่วยกันขนของกางเต็นท์เร็ว
สรุปเราสองคนไม่นอนด้วยกันแน่นะ........ภาพชายที่แฟนไม่มาด้วย สรุปนอนคนละเต็นท์นะครับ บอกตรงๆคิดถูกแล้วที่นอนคนเดียว
หลังจากได้ฐานที่มั่นกันแล้วพวกเราก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือยกข้าวของเครื่องใช้และอาหารมายังจุดที่เราจะกางเต็นท์กันครับ พวกเราไปถึงกันประมาณ 17:00 น. ซึ่งก็รู้ๆกันอยู่ว่าฤดูหนาวเป็นฤดูที่มืดเร็ว ดังนั้นพวกเราก็ไม่รอช้า ขาดเหลืออะไรติดต่อเจ้าหน้าที่ครับ อย่าช้าทีเดี๋ยวฟ้ามืดจะกางเต็นท์กันไม่ทัน อ้าว.......ลุย
อุ้ย.....คนมีคู่เขาก็ช่วยกันกางเต็นท์ ช่วยกันออกแรง สองแรงแข็งขัน คนไม่มีคู่ก็กางเองแต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวพวกเราไปช่วยนะ 55555555
น้องเล็กสุดในกลุ่มเจ้าของธุรกิจใหญ่เพิ่งแต่งงานกันวันนี้เลยถือโอกาสมาปั้มหลานให้พวกพี่ๆได้อุ้มกัน ทะเลาะเรื่องที่นอนกันทั้งคืน
ถึงตอนนี้พวกเราก็ได้กางเต็นท์กันจนเกิบเสร็จ ช้าบ้างเร็วบ้างก็ช่วยกันไป ใครที่เสร็จแล้วก็เตรียมข้าวของอย่างอื่นไป เพราะถึงตอนนี้เราต้องทำงานแข่งกับเวลาจะได้มีแสงที่ยังส่องช่วยให้แสงสว่างกับพวกเรา บางก็ไปหาของเพิ่มที่ทำการอุทยาน บางคนก็ก่อไฟเตรียมย่างเนื้อ ย่างหมู กุ้งย่าง ปิ้งลูกชิ้น ในที่สุดเต็นท์พวกเราทุกหลังก็ถูกกางจนเสร็จสิ้น พวกเราก็ไม่ลืมที่จะถ่ายภาพแห่งความสำเร็จนี้ไว้
โชคดีมากๆที่มีคนเอาไม้ Selfie ไปด้วยไม่งั้นคงไม่มีรูปครบทุกคนในภาพเดียว เป็นภาพที่พวกเรามีความสุขมากๆ และตัวผมเองมองกี่ครั้งก็มีความสุขเช่นกัน น้อยครั้งที่เราจะได้รวมตัวมาเที่ยวด้วยกันแบบนี้ พูดแล้วซึ้งใจ หลังจากกางเต็นท์กันจนเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็เริ่มพูดเป็นเสียงเดียวกันแล้วว่าหิว ก่อนแยกย้ายกันไปเตรียมของกินคืนนี้ ต้องโชว์สักหน่อยว่าเรามีอะไรดื่มแก้หนาวบ้างคืนนี้
ชักช้าอยู่อยู่ใย ก่อไฟเตรียมของกันเลยดีกว่ามาเที่ยวครั้งนี้ผมไม่เคยกลัวเลยที่จะอดอยาก เพราะพวกเรามี 3 แม่ครัวมาด้วย ไม่ใช่ปลากระป๋องนะ อิอิ
เป็นยังไงบ้างครับ 3 แม่ครัวของเรา นี่แหละครับคนที่จะปิ้ง ย่าง ให้เราได้กินในค่ำคืนนี้ ย่างไปดื่มไปไม่มีปัญหาแต่อย่าหลับคาเตานะ หลังจากนี้ไม่นานฟ้าก็มืดลงอย่างรวดเร็วครับ พวกเราก็นำผ้าใบมาปูรองพื้นตั้งวงกินข้าวกันแต่ไม่มีข้าวนะ ปิ้ง ย่าง อย่างเดียว พอฟ้ามืดลงอากาศก็เริ่มเย็นลงๆ อากาศกำลังสบายครับถือว่าไม่หนาวมากกำลังเย็นสบาย พวกเรานั่งดื่มไป กินไป ปิ้งย่างไปอย่างสนุกสนาน
บรรยากาศแห่งความสนุกสนานก็บังเกิดขึ้นตามปริมาณแอลกอฮอลล์ที่พวกเราได้ดื่มกันเข้า ถือว่าได้มาสัมผัสบรรยากาศอันสดชื่น พวกเราไม่ได้ดื่มกันทุกวัน แต่บ่อย 55555 ต้องขอบอกเลยนะครับว่าวันนี้ เนื้อย่าง หมูย่าง ลูกชิ้นปิ้ง กุ้งย่าง อร่อยมากโดยเฉพาะน้ำจิ้มรสเด็ด
ต้องชนกันหน่อยเดี๋ยวเขาจะว่าพวกเรามาไม่ถึง ด้วยความที่พวกเราเป็นเด็กบ้านเดียวกันและรู้จักกันมานานทำให้การสนทนาของพวกเราเป็นไปอย่างสนุกสนาน เจ้าหน้าที่ก็คอยแวะเวียนมาถามอยู่บ่อยๆว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องหรือป่าว ต้องบอกก่อนนะครับว่าที่นี่หลังเวลา 21:00 น. ห้ามเสียงดังแต่สามารถนั่งคุยกันได้ พวกเรานอนกันที่ "ลานกางเต็นท์เต็นท์ตะเดินคี่" ซึ่งไม่ใช่จุดที่สูงที่สุดของ "อุทยานแห่งชาติพุเตย" เพราะจุดที่สูงที่สุดของที่นี่คือ "ยอดเขาเทวดา" ซึ่งสูงประมาณ 1,123 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกางซึ่งถือว่าสูงมาก เจ้าหน้าที่บอกเราว่าถ้าจะขึ้นไปที่นั่นให้ไปติดต่อที่ทำการอุทยาน(บ้านพัก) ก่อนเวลา 21:00 น. และมีค่าใช้จ่ายอีกคนละ 100 บาท ออกเดินทางจากจุดที่เรากางเต็นท์กันตอนตี 4 ซึ่งดูแล้วพวกเราคงไปกันไม่ไหวเลยตัดสินใจไม่ไป แอบเสียดายนิดๆ แต่พวกเราเลือกที่จะดูดาวบนท้องฟ้าแทน ดาวเต็มท้องฟ้าไปหมดเหมือนเราจะหยิบได้เลย เออๆและอีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากบอกทุกท่านที่อยากไป "อุทยานแห่งชาติพุเตย" ว่าถ้าท่านเป็นคนที่ต้องอยู่กับโลกโซเชี่ยลแบบว่าขาดไม่ได้ ไปไหนชาวบ้านต้องรู้ ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า "อย่าไป" เพราะตั้งแต่ทางขึ้นจนถึงจุดกางเต็นท์ไม่มีสัญญาณเลย จุดที่มีสัญญาณแน่ๆคือจุดที่สูงที่สุดของอุทยานนั่นก็คือ "ยอดเขาเทวดา" ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าไกลพอสมควรเดินเหนื่อยแน่นอน แต่ตอนขับรถขึ้นมาพวกเราเห็นป้ายจุดรับสัญญาณโทรศัพท์
ระหว่างทางน่าจะมีประมาณ 2 จุดเห็นจะได้ครับ หลังจากเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลพวกเราจนเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ขอตัวไปพักผ่อน พวกเราก็สังสรรค์กันต่อครับ นั่งดื่ม นั่งกินไปเรื่อยๆก็มาถึงจุดที่ไปไฮไลค์ของทริปนี้เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันเกิดของพี่คนหนึ่งในกลุ่ม ซึ่งจริงๆแล้วพี่เขาเกิดวันที่ 13 ธันวาคม แต่พวกเราไปนอนคืนวันที่ 12 ธันวาคม พวกเราก็เลยมีเซอร์ไพรส์วันคล้ายวัดเกิดให้พี่เขาเลยก็แล้วกัน เอ้า.... 1 2 3 ช่วยกันร้องเพลงหน่อยเร็ว
หลังจากเป่าเค้กเสร็จเป็นที่เรียบร้อย พวกเราน้องๆก็อวยพรวันคล้ายวันเกิดให้พี่เขา ขณะที่เราอวยพรวันเกิดกันอยู่นั้นพี่เจ้าหน้าที่คนที่ให้ข้อมูลพวกเราเดินกลับมาพอดี พวกเราให้พี่เจ้าหน้าที่ช่วยอวยพรวันคล้ายวันเกิดให้พี่เขาสักหน่อย พี่เขาอวยพรว่าอะไรขอไม่บอกนะ แต่เรียกเสียงฮาได้เลยทีเดียว พวกเราดูเวลานี่ก็ดึกมากแล้วพวกเราจึงแยกย้ายกันไปอาบน้ำ แปรงฟัน เพื่อเตรียมตัวเข้านอน บอกไว้ก่อนเลยนะครับว่า ห้องน้ำที่ลานกางเต็นท์มีแค่ 4 ห้องเท่านั้นนะครับ และนั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่พวกเราเลือกที่จะอาบน้ำตอนดึกๆ และเลือกที่จะซื้อผ้าเย็นมาเช็ดตัวเพราะกลัวที่จะไม่ได้อาบน้ำเมื่อเห็นจำนวนคนที่มากางเต็นท์ อีกอย่างที่พวกเรากลัวก็คือการปวดท้องไม่อยากนึกเลยถ้าห้องน้ำไม่ว่างแล้วปวดท้องเนี่ยจะทำยังไง หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจในการอาบน้ำพวกเราก็แยกย้ายกันเข้านอนและตกลงกันก่อนนอนว่าจะพยามตื่นเช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะเราจะแวะถ่ายรูประหว่างทางขึ้นมายังที่นี่ซึ่งที่เห็นๆมีจุดชมวิวอยู่ทั้งหมด 2 จุด
""เวลาตี 4 น. ของวันที่ 13 ธันวาคม 2558 พวกเราบางคนก็เริ่มตื่น สาเหตุที่ตื่นก็เพราะว่านักท่องเที่ยวที่ลงชื่อไว้าก "ยอดเขาเทวดา" ตื่นเพื่อจะออกเดินทางตามเวลานัดหมายซึ่งอันนี้ผมพอจะเข้าใจครับ สิ้นเสียงคนเดิน คนคุยเราก็หลับกันต่อเพราะมันยังเช้าไปที่จะลงไปข้างล่างและเดินทางกลับบ้านเนื่องจากพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น แสงที่จะช่วยนำทางก็ยังไม่เกิด
""เวลาตี 5:45 น. พวกเราก็เริ่มตื่นกันอย่างจริงจังแล้วทีนี้ แล้วก็แยกย้ายกันทำภาระกิจส่วนตัวเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเดินทางกลับบ้านของพวกเรา เช้านี้พวกเราไม่ได้ขึ้นไปยอดเขากับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆเขา ผมเลยเก็บภาพบรรยากาศบริเวณโดยรอบที่เรากางเต็นท์กันมาฝาก ผมมองดูแล้ววิวธรรมชาติก็ไม่แพ้ที่อื่นๆนะครับเนี่ย
เป็นยังไงบ้างละครับสำหรับบรรยากาศยามเช้าที่ "ลานกางเต็นท์ตะเดินคี่" สวยใช่มั้ยครับ พวกเราใช้เวลาดื่มด่ำกับอากาศที่บริสุทธิ์ มันช่างเป็นอะไรที่สุดยอดมากครับและตอนเช้าที่นี่อากาศก็เย็นกำลังสบาย มันช่างเป็นช่วงที่พวกเรามีความสุขมากครับ หลังจากทุกคนแยกย้ายไปทำภาระกิจของแต่ละคนจนเสร็จสิ้นแล้วพวกเราก็ช่วยกันเก็บเต็นท์และข้าวของที่เราเตรียมมาทั้งขึ้นรถเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับบ้าน ทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือจะได้เสร็จ ผ่านไปไม่นานพวกเราก็ขนของขึ้นรถเรียบร้อย ก่อนเดินทางกลับก็ต้องมีรูปหมู่กันสักหน่อย
ดูหน้าตาแต่ละคนช่างสดชื่นอะไรขนาดนั้น ภาพนี้เป็นภาพส่งท้ายจากด้านบนที่เรากางเต็นท์กันครับ ไปละนะ
""เวลา 6:15 น. พวกเราคือนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกๆที่เดินทางกลับ แต่ก่อนหน้ากลุ่มเรามีนำหน้าเราไป 1 คันนั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะจุดประสงค์ที่พวกเราเลือกที่จะเดินทางกลับแต่เช้านั้นก็คือเพื่อที่จะแวะถ่ายรูปตามทางและจุดชมวิว ซึ่งถ้าพวกเราเดินทางตอนสายๆก็จะต้องมีรถขับตามลงมาหลายคันพวกเราก็จะจอดรถถ่ายรูปกันไม่ได้เป็นยังไงครับพวกเราลงทุนกันแค่ไหน ขับรถลงมาเรื่อยๆพวกเราก็ถึงจุดแรกที่พวกเราจะจอดรถถ่ายรูปกัน จุดนี้พวกเราสามารถมองเห็นทะเลหมอกได้แต่ไกลไปสักหน่อยแต่ก็ทำให้การมาครั้งนี้ของพวกเราไม่สูญเปล่าไป
เนื่องจากทะเลหมอกที่พวกเราสามารถมองเห็นได้นั้นมันไกลซะเหลือเกินผมเลยจึงต้องใช้วิถีซูมภาพเข้าไปเพื่อให้ได้ภาพที่ใกล้ที่สุด จึงได้ออกมาเป็นภาพนี้ครับ ภาพระยะไกลก็มีนะครับลองดูกันครับ
ท้องฟ้าสีคราม ต้นไม้เขียวขจี มันช่างเป็นภาพที่มองแล้วสบายตาที่สุดเลย อากาศก็เย็นสบายซะเหลือเกิน หลังจากถ่ายรูปกันจนหนำใจแล้วพวกก็เดินทางต่อไปยังอีกจุดหนึ่งที่พวกเรากำลังตามหา ขับมาสักพักเราก็หากันจนเจอพวกเราก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปมาฝากครับ รูปนี้มันบ่งบอกถึงความอัดอั้นที่เราต้องห่างจากโลกโซเชี่ยลและขาดติดต่อไประยะหนึ่งจนมีคนถามว่า ไปเที่ยวกันทำไมไม่เห็นโพสต์รูปให้ดูบ้างเลย อยากจะบอกว่าลองไปดูแล้วจะรู้
ทุกคนพร้อมใจกันควักโทรศัพท์ขึ้นมา พร้อมกับความดีใจมาก โทรศัพท์พวกเรามีสัญญาณแล้ว เออๆถ้าเจอสัญญาณแล้วกรุณาอย่าขยับนะครับเดี๋ยวมันจะหาไม่เจอ พวกเราแวะถ่ายรูปตรงจุดนี่เสร็จก็มีอีกสัก 1-2จุดมั้งไม่แน่ใจที่พวกเราแวะถ่ายรูปด้วยกัน
""เวลา 9:45 น. พวกเราเดินทางมาถึงตัวอำเภอด่านช้าง และแวะกินข้าวเช้ากันที่ร้านอาหารร้านหนึ่งอยู่ตรงทางขึ้นเขื่อน อาหารร้านนี้อร่อยมากๆ โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยว ต้มเลือดหมู มีเมนูอาหารมากมายหลายอย่างให้เราได้เลือกสรร เมื่อเราเดินมาถึงจุดนี้แล้วมันย่อมเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าการเดินทางทริปนี้เป็นอันสิ้นสุดลง แต่พวกเราสัญญากันแล้วว่ามันจะไม่จบแค่ทริปนี้แน่มันต้องมีอีกหลายสถานที่ที่พวกเราจะต้องเดินทางไปด้วยกันและเชื่อมความสัมพันธ์ที่เรียกว่า "มิตรภาพ" นี้ให้แนบแน่สืบไป........!
________________________________________________________________________________________
""คำแนะนำในการไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติพุเตย
1. ใจต้องรักธรรมชาติจริงๆ
2. ห่างจากโลกโซเชี่ยลได้เป็นเวลานานๆ
3. อั้นขี้ได้นาน
4. ไม่ทิ้งขยะ
5. ยอมรับว่าอาจเป็นไส้เลื่อน
6. ยืด-อกพกถุง ไม่ได้เอาไปจิ้มใครแต่เอาไว้อ้วก
7. ทนเสียงกรนของเต็นท์ข้างๆหรือเพื่อนเราได้
8. อยากกินอะไรขนไปให้หมด อย่าไปแคร์ใครว่าเราบ้าหอบฟาง
9. ควรเชื่ออีเจ๊เจ้าหน้าที่อุทยานจุดที่ 1 อย่าริอาจท้าทายคำเตือน
10. มีแฟนพาไปด้วยมันจะได้รู้ความลำบากเป็นไง
11. ถ้าไป 2 คนให้ซื้อเต็นท์ที่นอนได้ 3 คนจะได้ไม่ทะเลาะกัน
12. ทนตัวเหม็นได้เพราะอาจจะไม่ได้อาบน้ำ
หากท่านใดสามารถปฏิบัติได้ตามคำแนะนำคำเตือนขั้นต้นได้ท่านจะเที่ยว "อุทยานแห่งชาติพุเตย" ได้อย่างมีความสุข ขอให้เที่ยวอย่างมีความสุข "สวัสดี"
________________________________________________________________________________________
"รูปถ่ายส่งท้าย"
************************************************************************************************************