""สวัสดีครับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่เคารพรักทุกท่าน คือรีวิวนี้เพิ่งเขียนขึ้นมาพอดีมีน้องที่โรงแรมอยากจะไปบ้างเลยมาสอบถามข้อมูลกับผม ทริปนี้ผมเดินทางไปตั้งแต่ปีที่แล้วครับประมาณวันที่ 11-12 พฤศจิกายน 2557 มาครับเรามุ่งหน้าไป "สังขละบุรี" กันครับ
การเดินทาง
""วันที่ 11 พฤศจิกายน 2557
""ผมขึ้นรถตู้จากฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต รถเที่ยวแรกออก 6:00 น. แต่ผมไปทันเที่ยว 7:00 น. ค่ารถ 130 บาทใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง (บ้านผมอยู่สายไหมเลยไปขึ้นรถที่รังสิต)
""เดินทางถึงกาญจนบุรีเวลาประมาณ 9:08 น. หลังจากนั้นเดินไปขึ้นรถเมล์แดง(หวานเย็น) ออกเวลา 9:30 น. อยู่ช่อง B9 รถจะไปจอดที่อำเภอทองผาภูมิ เพื่อจะถ่ายรถ (รถไปสังขละบุรีมีทั้งรถตู้ รถเมล์แดงแอร์-พัดลม) ค่ารถน่าจะอยู่ที่ประมาณ 220-240 บาท/คน ผู้คนใช้บริการเยอะครับ โดยส่วนมากจะเป็นพวกคนมอญ
และดูจากสภาพรถแล้วรู้เลยครับว่าเราต้องนั่งนานแค่ไหน แต่เนื่องจากเราสองคนไม่ได้รีบร้อนอะไรเลยไปเรื่อย จะได้สัมผัสบรรยากาศแบบเต็มที่สำหรับการเดินทางครั้งนี้
เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงกว่าๆเราก็เดินทางมาอำเภอที่ติดชายแดนแดนทางฝั่งตะวันตกของประเทศ "สังขละบุรี"
""เวลาประมาณ 14:30 น. เดินทางถึงอำเภอสังขละบุรี แล้วก็นั่งวินมอร์ไซค์ไปที่พัก ผมพักที่ coffee berry ซึ่งที่พักที่นี่ด้านหน้าเป็นร้านกาแฟครับ
""ถึงที่พักเช่ามอร์ไซค์วันละ 200 บาท/วัน เอาไว้ขับเที่ยวรอบๆตัวเมืองสังขละบุรี ผมเดินทางจากที่พักไปเที่ยวด่านเจดีย์สามองค์ซึ่งด่านทางนั้นสามารถข้ามไปประเทศพม่าได้อ่อๆจากสังขละบุรีไปด่านเจดีย์สามองค์ประมาณ 20 กิโลเมตร
เนื่องจากด่านเจดีย์สามอางค์ค่อนข้างไกลจากตัวอำเภอเราจึงเดินทางไปที่นั่นก่อนเป็นที่แรก ไม่แนะนำให้ข้ามไปทางฝั่งประเทศพม่านะครับเพราะไม่มีอะไรเลยเนื่องความเจริญยังเข้าไม่ค่อยถึงเท่าไหร่ แต่แถวด่านก็มีร้านขายของเป็นตลาดให้เดินเลือกซื้อของเหมือนด่านทั่วๆไป เยี่ยมชมเสร็จขับกลับมาที่พักแต่ก่อนเข้าที่พักเราก็ขับรถแวะไปชมบรรยากาศยามเย็นของสะพานมอญกันสักหน่อย
ในภาพเป็นเวลาช่วงบ่ายแก่ครับ เรานั่งเล่นอยู่บนสะพานกันสักพักเพื่อรอดูพระอาทิตย์ทางฝั่งตะวันตกลับขอบฟ้าไปด้วยเลย
ภาพสะพานลูกบวบก่อนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ซึ่งสะพานนี้มีความสำคัญมากในช่วงตอนที่สะพานมอญซึ่งเป็นสะพานหลักในการใช้สัญจรเกิดความเสียหายจากน้ำป่าไหลหลาก ชาวบ้านจึงได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างขึ้นเพื่อใช้สัญจรระหว่างทั้ง 2 ฝั่ง
พระอาทิตย์เตรียมตัวลับขอบฟ้าถึงเวลาต้องกล่าวคำล่ำลากับแสงสว่างเพื่อก้าวเข้าสู่ราตรี หลังจากดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเสร็จเราก็เดินทางกลับที่พักเพื่อเตรียมตัวออกไปถนนคนเดินสังขละบุรี(ตลาดโต้รุ่งมีแต่ของกิน) หาอะไรกินกันตามประสา คนที่นี่นอนกันเร็ว 2 ทุ่มก็เงียบแล้ว เงียบมากๆ
เดินวนกันอยู่ 2-3 รอบก็ตกลงนั่งกันกินกันที่ร้านอาหารเล็กๆริมทางที่ได้รับคำแนะนำมาจากรุ่นพี่คนหนึ่ง
ที่ผมกินอยู่นั่นเป็นหมูต้มเครื่องเทศแต่ก็คล้ายๆกับหมูพะโล้บ้านเราครับแต่ก็มีน้ำจิ้มให้สนนราคาอยู่ที่ไม้ละ 1 บาทคือก็สมกับราคาครับเพราะมีหมูเสียบอยู่ปลายไม้นิดเดียวเรากินกับไปประมาณ ร้อยกว่าไม้ครับ อ่อๆหรือว่าใครจะให้เขาทำเป็นยำก็ได้นะครับ อยากจะบอกว่าที่นี่ถ้าคนชอบเเสง สี เสียง ตัดที่นี่ออกไปได้เลยเพราเงียบมาก 2-3 ทุ่มก็ไม่ค่อยมีคนแล้วครับ เรากินกันเสร็จก็ขับรถกลับกลับที่พัก อาบน้ำ นอน เพื่อเตรียมตัวตื่นเช้าไปตักบาตรที่สะพานมอญ
""วันที่ 12 พฤศจิกายน 2557
""เวลา 5:30 น. นาฬิกาปลุกดัง ล้างหน้า แปลงฟัน เตรียมตัวไปตักบาตร อากาศตอนเช้าดีมาก มีหมอกลงเต็มไปหมด โดยเฉพาะที่สะพานมอญ ถูกปกคลุมไปด้วยหมอก
ถ่ายภาพกับหมอกยามเช้านี่ได้บรรยากาศจริงๆเลย ถ่ายรูปเสร็จก็เตรียมตัวทำกิจกรรมแรกของวัน ไปทำบุญตักบาตรกันครับ
""ผมซื้อชุดตักบาตรชุดละ 100 บาทมีหลายราคาแต่ชุดละ 100 บาทจะมีชุดกรวดน้ำให้ด้วย ระวังพวกทำเนียนซื้อชุดธรรมดาแล้วมาเนียนหยิบที่กรวดน้ำเราไป ผมกับแฟนโดนมาแล้ว ผมเดือดมากคนแบบนี้ก็มีต้องระวังด้วยนะครับ หลังจากใส่บาตรเสร็จผมเดินข้ามสะพานไปฝั่งมอญกัน ฝั่งมอญก็มีชุดใส่บาตรเหมือนกัน มีร้านกาแฟ โจ๊ก ด้วย ผมนั่งกินโจ๊กกันฝั่งมอญ กินเสร็จเราก็เดินไปด้านล่างของสะพานเพื่อไปนั่งเรือนั่งไปชม ""วัดวังวิเวการาม หรือ วัดหลวงพ่ออุตตมะ"
ไป-กลับ ใช้เวลา 1 ชั่วโมงช่าเร็วขึ้นอยู่กับเราว่าถ่ายรูปนานมั้ย ค่าเรือ 250-300 บาท
ภาพบรรยากาศทั่วไปบริเวณวัดครับ ถ่ายรูปเสร็จก็เดินทางกลับมายังสะพาน แต่ก่อนกลับก็แวะถ่ายรูปอีกสักหน่อย เพราะเดี๋ยวจะต้องกลับแล้ว
เวลา 9:00 น. เดินทางกลับห้องเพื่อมาเก็บของแล้วเดินทางไปขึ้นรถไฟสายมรณะที่สถานีน้ำตกไทรโยคน้อย เราเดินออกจากที่พักไปยังท่ารถกันครับไกลพอสมควร
ผมออกเดินทางออกจากอำเภอสังขละบุรี 10:00 น.ค่ารถตู้จากสังขละบุรีมาลงที่น้ำตกไทรโยคน้อย 175 บาทราคาเท่ากับลงตัวเมือง พอลงที่น้ำตกไทรโยคน้อยถ้ามีเวลาเราสามารถแวะเที่ยวชมน้ำตกก่อนได้แต่เนื่องจากเราไม่รู้เวลาที่รถไฟจะมาเทียบชานชาลาว่ามากี่โมงเราจึงตัดสินใจเดินไปที่สถานีรถไฟ และอีกอย่างที่เราไม่แวะน้ำตกเพราะว่าน้ำตกกับตัวสถานีรถไฟค่อนข้างไกลกันถ้าเดินขาลากแน่นอน
จากจุดที่ผมลงรถตู้เพื่อเดินเท้าไปยังสถานีรถไฟ ถ้าคนไม่เคยไปจะไม่รู้ว่าสถานีรถไฟอยู่ตรงไหนเพราะค่อนข้างซับซ้อนและผ่านบ้านเรือนผู้คน ผมแนะให้สอบทางเส้นทางกับคนในพื้นที่จะดีกว่าครับ เราเดินมากันสักพักก็ถึงสถานีรถไฟ "สถานีน้ำตก" เดินมาถึงก็หิวทันทีเลยหาข้าวกินที่สถานีรถไฟพร้อมกับรอรถไฟไปด้วยเลย
""เวลา 14:10 น. รถไฟมาถึงสถานี รถไฟอาจจะมาช้าไม่ค่อยตรงเวลา ต้องถามร้านข้าวที่สถานีหรือเจ้าหน้าที่ที่ช่องออกตั๋ว อ่อๆคนไทยตีตั๋วฟรี ส่วนคนต่างชาติคนละ 100 บาท/คน นักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะมากๆ ผมขอแนะนำให้นั่งฝั่งที่ไม่ติดกับสถานีเพราะจะเห็นวิวได้สวยที่สุด
ได้ขึ้นรถไฟแล้ว เราดีใจกันมากเพราะจะได้นั่งรถไฟสายประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกเลยนะ ระหว่างทางก็ผ่านหมู่บ้าน ไร่ สวน รีสอร์ท ต่างๆมากมาย นั่งมาสักเกือบ 2 ชั่วโมงเราก็เดินทางมาถึงจุด Climax ของรถไฟสายนี้แล้วครับซึ่งเป็นครั้งแรกของเราทั้งคู่
สำหรับเราแล้วมันช่างเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามาก หลังจากผ่านเส้นทางนี้ไปเราก็หลับพักผ่อนกันบนรถไฟนั่นแหละ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว
""เวลา 16:20 น. ผมเดินทางถึงสถานีแม่น้ำสะพานข้ามแม่น้ำแคว ลงถ่ายรูปแป๊บและนั่งวินไปยังขนส่ง เพื่อกลับ กทม. ค่าวิน 40 บาท
ปล.ที่พักที่ควรจะพักที่สังขละบุรี สามประสบรีสอร์ท , พี เกสต์เฮ้าส์ , พรไพลิน และถ้ามีเวลาแนะนำให้ซื้อทัวร์กับพี เกสต์เฮาส์ รู้สึกว่าค่าห้องรวมทัวร์อยู่ที่ 1,400 บาทแต่ผมอยากเที่ยวเองเลยทำตามใจต้องการ ทริปนี้ผมกับแฟนหมดเงินไปคนละ 1,940 บาท(ผมกับแฟนเป็นคนชอบดื่ม กิน เลยหมดเยอะหน่อยแต่ไม่เกินงบที่เราตั้งไว้)
""เป็นสิ่งที่ตั้งใจทำขึ้นมาเพื่อเป็นเผยแพร่การท่องเที่ยวของบ้านเราว่ามันมีดีไม่แพ้ใคร และหวังว่ามันคงจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่รักการเดินทางทั้งหลาย แล้วพบกันใหม่พี่น้องที่รักการเดินทางทั้งหลาย ขอบคุณข้อมูลบ้างส่วนจากพี่ปิแรส และน้องเต๋า
สวัสดี
*********************************************