วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558

OK Group ลุยอุทยานแห่งชาติพุเตย

""สวัสดีครับเพื่อนๆพี่ๆ และน้องๆทุกท่านหลังจากผมหายหน้าหายตาไปนานในการเขียนเรื่องเล่าจากประสบการณ์การท่องเที่ยวของผมนั้น ครั้งนี้ผมได้มีโอกาสรวมตัวกับกลุ่มเพื่อนๆที่บ้านเกิดไปผจญภัยกันที่ "อุทยานแห่งชาติพุเตย" ซึ่งโดยปกติแล้วผมมักจะเดินทางไปเที่ยวกับแฟนผมซะส่วนใหญ่ ครั้งนี้พวกเราไปกันทั้งหมด 8 คน นัดหมายที่จะออกเดินทางกันวันที่ 12 ธันวาคม 58 พัก 1 คืน พวกเรารวบรวมเงินเพื่อจะเตรียมข้าวของขึ้นไปทำกินกันที่ด้านบนของอุทยานที่พวกเราจะไปกางเต็นท์กัน "อุทยานแห่งชาติพุเตย" ตั้งอยู่ที่อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนพวกเราก็เป็นคนสุพรรณฯเช่นกัน แต่อยู่ที่อำเภอเดิมบางนางบวช อ่อๆลืมมีสาวเชียงรายด้วย 1 คน พร้อมแล้วออกเดินไปกับพวกเราได้เลสครับ    


พวกเราออกเดินทางจากบ้านเวลาประมาณ 13:00 น. มุ่งหน้าสู่ "อุทยานแห่งชาติพุเตย" ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลวังยาว อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งต้องบอกก่อนว่าจากสี่แยกไฟแดงในตัวอำเภอจะมีป้ายบอกตลอดทางและสามารถไปได้หลายทาง พวกเราตัดสินใจกันแล้วว่าจะวิ่งไปทางเส้นหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรี ต้องบอกก่อนนะครับว่าทริปนี้ในกลุ่มพวกเราทั้ง 8 คน ไม่เคยมีใครเดินไปที่นี่มาก่อนเลยดั้งนั้นเมื่อไม่มีใครรู้ทางที่แท้จริงเราจึงเลือกเดินทางตามป้ายบอกทางเอาซึ่งไม่ใช่ปัญหาในการเดินทางมาที่นี่เลยเพราะตลอดทางที่พวกเราขับรถมานั้นมีป้ายบอกทางเป็นระยะๆ ผมวัดระยะทางจากสี่แยกไฟแดงในตัวอำเภอจาก Google Map ระยะทางจากตรงนั้นประมาน 75-80 กิโลเมตร พวกเราเดินทางชั่วโมงเศษๆก็มาถึงที่ทำการอุทยานจุดที่ 1 


จุดที่ 1 นี้จะเป็นจุดที่มีบ้านพักบริการ (แต่วันที่เราไปห้องพักเต็ม) และมีลานให้กางเต็นท์ด้วยเช่นกัน มีเวทีการแสดง วันที่พวกเราไปนั้นก็เห็นมีผู้คนมากางเต็นท์กันอยู่หลายคน จุดที่ 1 นี้ยังเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวต้องแวะมาชำระค่าทำเนียมของอุทยาน รู้สึกว่าวันนั้นพวกเราจ่ายไปทั้งหมด 350 บาทเพราะจุดหมายปลายทางของพวกเราไม่ได้อยู่กันที่จุดนี้ จุดหมายของพวกเราคือ "ลานกางเต็นท์ตะเดินคี่" ซึ่งต้องขับออกมาจากตัวอุทยานจุดที่ 1 แล้วเลี้ยวขวาไปอีกประมาณ 25-30 กิโลเมตร ซึ่งถ้าใครไม่เลี้ยวเข้าอุทยานจุดที่ 1 ก็สามารถวิ่งตรงไปได้เลย แต่ยังไงๆเจ้าหน้าที่เขาก็จะขอดูใบเสร็จที่เราชำระเงินมาจากจุดที่ 1 อยู่ดีครับ 

ก่อนออกเดินทางจากจุดที่ 1 นั้นมีพี่เจ้าหน้าที่ผู้หญิงท่านหนึ่งถามกับพวกเราว่า 

เจ้าหน้าที่อุทยาน : "จะขึ้นไปข้างบนอ่ะเตรียมของใช้ อาหารการกิน น้ำดื่มเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย" 

OK Group.       : "ใช่ครับ" 

เจ้าหน้าที่อุทยาน : "ก็ดีแล้ว......อะไรขาดเหลือก็ตรวจดูให้ดีก่อนขึ้นแล้วกัน"

OK Group.       : "อ่อๆ..... แล้วพี่ปิดกี่โมงครับ"

เจ้าหน้าที่อุทยาน : "ในประวัติศาสตร์นะ......ถ้าขึ้นไปแล้วไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนเขาย้อนกลับลงมาซื้อของกันหรอก" (คือผมอยากให้ท่านผู้อ่านได้เห็นหน้าเจ๊แกมาก หน้าตาท้าทายพวกเรามาก)

OK Group.       : "พวกเราคิดกันในใจว่า รู้จักพวกผมน้อยเกินไปเสียแล้ว" (ยังไม่รู้อนาคต)

หลังจากสนทนากันอยากออกรสออกชาติ ประหนึ่งมีการท้าทายเกิดขึ้นเล็กๆพวกเราก็มิรอช้ามุ่งหน้าต่อไปยังจุดหมายปลายทาง อ่อๆก่อนออกจากอุทยานจุดที่ 1 ผมมองเห็นป้ายป้ายหนึ่งซึ่งมันทำให้ผมนึกถึงเรื่องในวัยเด็กที่มีสายการบินสายหนึ่งเกิดระเบิดขึ้นและตกในเขตป่าบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นโศกอนาฏกรรมที่โด่งดังมากนั้นสมัยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2534 มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 223 ศพ โดยผู้เสียชีวิตทั้งหมดเดินทางด้วยสายการบิน LAUDA AIR เที่ยวบินที่ NG004 ได้ออกเดินทางจากท่าอากาศยานดอนเมืองมุ่งหน้าสู่สนามบินนานาชาติเวียนนา ประเทศออสเตรีย เขียนแล้วเศร้าใจนะ


เดินทางกันต่อดีกว่าครับ อย่างที่เกริ่นไปตอนแรกเราออกมาจากอุทยานจุดที่ 1 แล้วเลี้ยวขวาขับไปตามทางเรื่อยๆตลอดทางเป็นถนนลาดยาง ขับสบาย บางช่วงอาจมีหลุดมีบ่อบ้างขับตามป้ายบอกทางไปเรื่อยเลยครับแล้วสุดทางที่ป้ายบอกก็จะถึงทางขึ้น "ลานกางเต็นท์ตะเพิ่นคี่" จากปากทางขึ้นไปด้านบนประมาณอีก 13 กิโลเมตร น่าจะเป็นกิโลแม้วมากกว่า ผมต้องขอบอกกาอนเลยนะครับว่ารถกระบะดีที่สุดและอีกอย่างเที่ยวมาก็หลายที่มีที่นี่แหละทางขึ้นทรมานที่สุดระวังทางก็มีรถหลายคันกำลังมุ่งหน้าขึ้นไปด้านบนกัน พร้อมแล้วลุยกันเลย



นี่แหละครับทางขึ้นและนี่ก็แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นครับ พวกเราแวะถ่ายรูปกันก่อนครับ เพราะดูทรงแล้วข้างหน้าทางลาดชันน่าจะจอดรถลำบากแน่นอนครับ สังเกตุจากรถแต่ละคันแล้วเต็มไปด้วยอาหาร น้ำดื่ม และอุปกรณ์ประกอบอาหาร พวกเราก็เตรียมไปเช่นกันครับ ต้องขอบอกเลยว่าครบครันไม่ได้กลัวหิว ขอแจกแจงข้าวของที่เราเตรียมไปวันนั้นกันก่อนเลยนะครับก็มี หมูหมัก , เนื้อหมัก , น้ำจิ้ม , มาม่า,  น้ำแข็ง 1 ถังขนาดกลาง , ลูกชิ้นปิ้ง , ไข่ , มัน , เบียร์ 2 แพ็คเกจ , เต็นท์ 5 หลัง , ผ้าใบปูใต้เต็นท์และปูนั่งกัน 5 ผืน , แก๊สปิคนิค , เตาย่าง , เหล็กย่าง , หม้อต้ม , มีด , ถ่านก่อไฟ , ไฟแช็ค , ผ้าเย็น(เผื่อไม่ได้อาบน้ำ) , เครื่องดื่มอื่น , แปลงสีฟันยาสีฟัน ฯลฯ บอกตรงเลยนะครับว่าทางขึ้นรถนี่แทบจะสวนกันไม่ได้เลย บางช่วงแคบมากๆและทางก็มีแต่ร่องน้ำทำให้การขับขี่รถเป็นไปด้วยความลำบาก พอขับไปสักระยะเราก็มาเจอป้ายนี้ครับ


เห็นภาพนี้แล้วทุกถคนถึงกับยิ้มเลยครับคิดในใจก็ไม่ได้โหดอย่างที่คิด ที่ไหนได้มันแค่การเริ่มต้นเท่านั้นยาวไปๆลูกพี่ พอมาถึงตอนนี้นึกถึงคำพูดพี่เจ้าหน้าที่อุทยานเลยครับ "ในประวัติศาสตร์ไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนขึ้นไปแล้วกลับลงมาซื้อของหรอก" รู้แล้วทำไมพี่แกถึงมั่นใจกับพูดของแกมากขนาดนั้น ประมาณไม่เจอกับตัวมึงไม่รู้หรอก อยากจะบอกว่ารู้แล้วครับ




เป็นยังไงบ้างครับ........นี่คือภาพบางส่วนของการเดินทางขึ้นไป "ลานกางเต็นท์ตะเพลินคี่" ถ่ายต่อไม่ไหวครับใจอยากได้มากกว่านี้แต่กลัวอ้วกแตก ระหว่างทางเราก็จะผ่านน้ำตกตะเพินคี่เล็กและน้ำตกตะเพินคี่ใหญ่ แต่ต้องเดินจากทางเข้าไปในป่าอีกประมาณ 500 เมตรครับ ซึ่งผมคิดว่าถ้าเราจอดรถแล้วเดินไปดูคงไม่สะดวกแน่เพราะถ้ามีรถตามหลังมาเขาจะไปกันไม่ได้ แต่ก็มีคนบอกว่าจากจุดน้ำตกสามารถไปยังลานกางเต็นท์ที่เราจะไปกันได้แต่ต้องให้เจ้าหน้าที่เป็นคนนำทางครับ ตรงทางเข้าน้ำตกนี้พวกเราไม่ได้แวะเพราะใจอยู่ที่ลานกางเต็นท์แล้วอีกอย่างกลัวไม่มีที่ว่างเหลือไว้ให้พวกเรา พวกเราใช้เวลาเดินทางจากด้านล่างทางขึ้นมายังจุดกางเต็นท์ด้านบนใช้เวลาทั้งสิ้น 2 ชั่วโมงเศษๆ พอมาถึงปุ๊บก็ไม่รอช้าเพราะนัดแนะกันตั้งแต่ในรถแล้วว่าถ้าถึงให้รีบวิ่งไปดูที่กางเต็นท์ก่อนเลยหนึ่งคน แต่ก่อนจอดรถพวกเราเห็นแล้วหล่ะครับว่ารถเยอะมากๆเกิบเต็มที่จอดรถแล้ว พอจอดรถก็วิ่งไปดูที่กางเต็นท์เดินดูบริเวณริมๆจะได้ดูวิวสวยแต่ก็ช้าไปซะแล้วเต็มหมดครับ พวกเราจึงเลือกจุดนี้ถือว่าดีสุดล่ะเท่าที่มีเหลืออยู่ ช้าอย่าอยู่ใยช่วยกันขนของกางเต็นท์เร็ว

 

สรุปเราสองคนไม่นอนด้วยกันแน่นะ........ภาพชายที่แฟนไม่มาด้วย สรุปนอนคนละเต็นท์นะครับ บอกตรงๆคิดถูกแล้วที่นอนคนเดียว
    
 

หลังจากได้ฐานที่มั่นกันแล้วพวกเราก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือยกข้าวของเครื่องใช้และอาหารมายังจุดที่เราจะกางเต็นท์กันครับ พวกเราไปถึงกันประมาณ 17:00 น. ซึ่งก็รู้ๆกันอยู่ว่าฤดูหนาวเป็นฤดูที่มืดเร็ว ดังนั้นพวกเราก็ไม่รอช้า ขาดเหลืออะไรติดต่อเจ้าหน้าที่ครับ อย่าช้าทีเดี๋ยวฟ้ามืดจะกางเต็นท์กันไม่ทัน อ้าว.......ลุย

 

 

 

อุ้ย.....คนมีคู่เขาก็ช่วยกันกางเต็นท์ ช่วยกันออกแรง สองแรงแข็งขัน คนไม่มีคู่ก็กางเองแต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวพวกเราไปช่วยนะ 55555555

  

น้องเล็กสุดในกลุ่มเจ้าของธุรกิจใหญ่เพิ่งแต่งงานกันวันนี้เลยถือโอกาสมาปั้มหลานให้พวกพี่ๆได้อุ้มกัน ทะเลาะเรื่องที่นอนกันทั้งคืน

 

 
 
ถึงตอนนี้พวกเราก็ได้กางเต็นท์กันจนเกิบเสร็จ ช้าบ้างเร็วบ้างก็ช่วยกันไป ใครที่เสร็จแล้วก็เตรียมข้าวของอย่างอื่นไป เพราะถึงตอนนี้เราต้องทำงานแข่งกับเวลาจะได้มีแสงที่ยังส่องช่วยให้แสงสว่างกับพวกเรา บางก็ไปหาของเพิ่มที่ทำการอุทยาน บางคนก็ก่อไฟเตรียมย่างเนื้อ ย่างหมู กุ้งย่าง ปิ้งลูกชิ้น ในที่สุดเต็นท์พวกเราทุกหลังก็ถูกกางจนเสร็จสิ้น พวกเราก็ไม่ลืมที่จะถ่ายภาพแห่งความสำเร็จนี้ไว้


โชคดีมากๆที่มีคนเอาไม้ Selfie ไปด้วยไม่งั้นคงไม่มีรูปครบทุกคนในภาพเดียว เป็นภาพที่พวกเรามีความสุขมากๆ และตัวผมเองมองกี่ครั้งก็มีความสุขเช่นกัน น้อยครั้งที่เราจะได้รวมตัวมาเที่ยวด้วยกันแบบนี้ พูดแล้วซึ้งใจ หลังจากกางเต็นท์กันจนเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็เริ่มพูดเป็นเสียงเดียวกันแล้วว่าหิว ก่อนแยกย้ายกันไปเตรียมของกินคืนนี้ ต้องโชว์สักหน่อยว่าเรามีอะไรดื่มแก้หนาวบ้างคืนนี้


ชักช้าอยู่อยู่ใย ก่อไฟเตรียมของกันเลยดีกว่ามาเที่ยวครั้งนี้ผมไม่เคยกลัวเลยที่จะอดอยาก เพราะพวกเรามี 3 แม่ครัวมาด้วย ไม่ใช่ปลากระป๋องนะ อิอิ


เป็นยังไงบ้างครับ 3 แม่ครัวของเรา นี่แหละครับคนที่จะปิ้ง ย่าง ให้เราได้กินในค่ำคืนนี้ ย่างไปดื่มไปไม่มีปัญหาแต่อย่าหลับคาเตานะ หลังจากนี้ไม่นานฟ้าก็มืดลงอย่างรวดเร็วครับ พวกเราก็นำผ้าใบมาปูรองพื้นตั้งวงกินข้าวกันแต่ไม่มีข้าวนะ ปิ้ง ย่าง อย่างเดียว พอฟ้ามืดลงอากาศก็เริ่มเย็นลงๆ อากาศกำลังสบายครับถือว่าไม่หนาวมากกำลังเย็นสบาย พวกเรานั่งดื่มไป กินไป ปิ้งย่างไปอย่างสนุกสนาน



บรรยากาศแห่งความสนุกสนานก็บังเกิดขึ้นตามปริมาณแอลกอฮอลล์ที่พวกเราได้ดื่มกันเข้า ถือว่าได้มาสัมผัสบรรยากาศอันสดชื่น พวกเราไม่ได้ดื่มกันทุกวัน แต่บ่อย 55555 ต้องขอบอกเลยนะครับว่าวันนี้ เนื้อย่าง หมูย่าง ลูกชิ้นปิ้ง กุ้งย่าง อร่อยมากโดยเฉพาะน้ำจิ้มรสเด็ด


ต้องชนกันหน่อยเดี๋ยวเขาจะว่าพวกเรามาไม่ถึง ด้วยความที่พวกเราเป็นเด็กบ้านเดียวกันและรู้จักกันมานานทำให้การสนทนาของพวกเราเป็นไปอย่างสนุกสนาน เจ้าหน้าที่ก็คอยแวะเวียนมาถามอยู่บ่อยๆว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องหรือป่าว ต้องบอกก่อนนะครับว่าที่นี่หลังเวลา 21:00 น. ห้ามเสียงดังแต่สามารถนั่งคุยกันได้ พวกเรานอนกันที่ "ลานกางเต็นท์เต็นท์ตะเดินคี่" ซึ่งไม่ใช่จุดที่สูงที่สุดของ "อุทยานแห่งชาติพุเตย" เพราะจุดที่สูงที่สุดของที่นี่คือ "ยอดเขาเทวดา" ซึ่งสูงประมาณ 1,123 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกางซึ่งถือว่าสูงมาก เจ้าหน้าที่บอกเราว่าถ้าจะขึ้นไปที่นั่นให้ไปติดต่อที่ทำการอุทยาน(บ้านพัก) ก่อนเวลา 21:00 น. และมีค่าใช้จ่ายอีกคนละ 100 บาท ออกเดินทางจากจุดที่เรากางเต็นท์กันตอนตี 4 ซึ่งดูแล้วพวกเราคงไปกันไม่ไหวเลยตัดสินใจไม่ไป แอบเสียดายนิดๆ แต่พวกเราเลือกที่จะดูดาวบนท้องฟ้าแทน ดาวเต็มท้องฟ้าไปหมดเหมือนเราจะหยิบได้เลย เออๆและอีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากบอกทุกท่านที่อยากไป "อุทยานแห่งชาติพุเตย" ว่าถ้าท่านเป็นคนที่ต้องอยู่กับโลกโซเชี่ยลแบบว่าขาดไม่ได้ ไปไหนชาวบ้านต้องรู้ ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า "อย่าไป" เพราะตั้งแต่ทางขึ้นจนถึงจุดกางเต็นท์ไม่มีสัญญาณเลย จุดที่มีสัญญาณแน่ๆคือจุดที่สูงที่สุดของอุทยานนั่นก็คือ "ยอดเขาเทวดา" ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าไกลพอสมควรเดินเหนื่อยแน่นอน แต่ตอนขับรถขึ้นมาพวกเราเห็นป้ายจุดรับสัญญาณโทรศัพท์


ระหว่างทางน่าจะมีประมาณ 2 จุดเห็นจะได้ครับ หลังจากเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลพวกเราจนเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ขอตัวไปพักผ่อน พวกเราก็สังสรรค์กันต่อครับ นั่งดื่ม นั่งกินไปเรื่อยๆก็มาถึงจุดที่ไปไฮไลค์ของทริปนี้เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันเกิดของพี่คนหนึ่งในกลุ่ม ซึ่งจริงๆแล้วพี่เขาเกิดวันที่ 13 ธันวาคม แต่พวกเราไปนอนคืนวันที่ 12 ธันวาคม พวกเราก็เลยมีเซอร์ไพรส์วันคล้ายวัดเกิดให้พี่เขาเลยก็แล้วกัน เอ้า.... 1 2 3 ช่วยกันร้องเพลงหน่อยเร็ว


หลังจากเป่าเค้กเสร็จเป็นที่เรียบร้อย พวกเราน้องๆก็อวยพรวันคล้ายวันเกิดให้พี่เขา ขณะที่เราอวยพรวันเกิดกันอยู่นั้นพี่เจ้าหน้าที่คนที่ให้ข้อมูลพวกเราเดินกลับมาพอดี พวกเราให้พี่เจ้าหน้าที่ช่วยอวยพรวันคล้ายวันเกิดให้พี่เขาสักหน่อย พี่เขาอวยพรว่าอะไรขอไม่บอกนะ แต่เรียกเสียงฮาได้เลยทีเดียว พวกเราดูเวลานี่ก็ดึกมากแล้วพวกเราจึงแยกย้ายกันไปอาบน้ำ แปรงฟัน เพื่อเตรียมตัวเข้านอน บอกไว้ก่อนเลยนะครับว่า ห้องน้ำที่ลานกางเต็นท์มีแค่ 4 ห้องเท่านั้นนะครับ และนั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่พวกเราเลือกที่จะอาบน้ำตอนดึกๆ และเลือกที่จะซื้อผ้าเย็นมาเช็ดตัวเพราะกลัวที่จะไม่ได้อาบน้ำเมื่อเห็นจำนวนคนที่มากางเต็นท์ อีกอย่างที่พวกเรากลัวก็คือการปวดท้องไม่อยากนึกเลยถ้าห้องน้ำไม่ว่างแล้วปวดท้องเนี่ยจะทำยังไง หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจในการอาบน้ำพวกเราก็แยกย้ายกันเข้านอนและตกลงกันก่อนนอนว่าจะพยามตื่นเช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะเราจะแวะถ่ายรูประหว่างทางขึ้นมายังที่นี่ซึ่งที่เห็นๆมีจุดชมวิวอยู่ทั้งหมด 2 จุด

""เวลาตี 4 น. ของวันที่ 13 ธันวาคม 2558 พวกเราบางคนก็เริ่มตื่น สาเหตุที่ตื่นก็เพราะว่านักท่องเที่ยวที่ลงชื่อไว้าก "ยอดเขาเทวดา" ตื่นเพื่อจะออกเดินทางตามเวลานัดหมายซึ่งอันนี้ผมพอจะเข้าใจครับ สิ้นเสียงคนเดิน คนคุยเราก็หลับกันต่อเพราะมันยังเช้าไปที่จะลงไปข้างล่างและเดินทางกลับบ้านเนื่องจากพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น แสงที่จะช่วยนำทางก็ยังไม่เกิด

""เวลาตี 5:45 น. พวกเราก็เริ่มตื่นกันอย่างจริงจังแล้วทีนี้ แล้วก็แยกย้ายกันทำภาระกิจส่วนตัวเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเดินทางกลับบ้านของพวกเรา เช้านี้พวกเราไม่ได้ขึ้นไปยอดเขากับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆเขา ผมเลยเก็บภาพบรรยากาศบริเวณโดยรอบที่เรากางเต็นท์กันมาฝาก ผมมองดูแล้ววิวธรรมชาติก็ไม่แพ้ที่อื่นๆนะครับเนี่ย






เป็นยังไงบ้างละครับสำหรับบรรยากาศยามเช้าที่ "ลานกางเต็นท์ตะเดินคี่" สวยใช่มั้ยครับ พวกเราใช้เวลาดื่มด่ำกับอากาศที่บริสุทธิ์ มันช่างเป็นอะไรที่สุดยอดมากครับและตอนเช้าที่นี่อากาศก็เย็นกำลังสบาย มันช่างเป็นช่วงที่พวกเรามีความสุขมากครับ หลังจากทุกคนแยกย้ายไปทำภาระกิจของแต่ละคนจนเสร็จสิ้นแล้วพวกเราก็ช่วยกันเก็บเต็นท์และข้าวของที่เราเตรียมมาทั้งขึ้นรถเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับบ้าน ทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือจะได้เสร็จ ผ่านไปไม่นานพวกเราก็ขนของขึ้นรถเรียบร้อย ก่อนเดินทางกลับก็ต้องมีรูปหมู่กันสักหน่อย


ดูหน้าตาแต่ละคนช่างสดชื่นอะไรขนาดนั้น ภาพนี้เป็นภาพส่งท้ายจากด้านบนที่เรากางเต็นท์กันครับ ไปละนะ

""เวลา 6:15 น. พวกเราคือนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกๆที่เดินทางกลับ แต่ก่อนหน้ากลุ่มเรามีนำหน้าเราไป 1 คันนั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะจุดประสงค์ที่พวกเราเลือกที่จะเดินทางกลับแต่เช้านั้นก็คือเพื่อที่จะแวะถ่ายรูปตามทางและจุดชมวิว ซึ่งถ้าพวกเราเดินทางตอนสายๆก็จะต้องมีรถขับตามลงมาหลายคันพวกเราก็จะจอดรถถ่ายรูปกันไม่ได้เป็นยังไงครับพวกเราลงทุนกันแค่ไหน ขับรถลงมาเรื่อยๆพวกเราก็ถึงจุดแรกที่พวกเราจะจอดรถถ่ายรูปกัน จุดนี้พวกเราสามารถมองเห็นทะเลหมอกได้แต่ไกลไปสักหน่อยแต่ก็ทำให้การมาครั้งนี้ของพวกเราไม่สูญเปล่าไป


เนื่องจากทะเลหมอกที่พวกเราสามารถมองเห็นได้นั้นมันไกลซะเหลือเกินผมเลยจึงต้องใช้วิถีซูมภาพเข้าไปเพื่อให้ได้ภาพที่ใกล้ที่สุด จึงได้ออกมาเป็นภาพนี้ครับ ภาพระยะไกลก็มีนะครับลองดูกันครับ


ท้องฟ้าสีคราม ต้นไม้เขียวขจี มันช่างเป็นภาพที่มองแล้วสบายตาที่สุดเลย อากาศก็เย็นสบายซะเหลือเกิน หลังจากถ่ายรูปกันจนหนำใจแล้วพวกก็เดินทางต่อไปยังอีกจุดหนึ่งที่พวกเรากำลังตามหา ขับมาสักพักเราก็หากันจนเจอพวกเราก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปมาฝากครับ รูปนี้มันบ่งบอกถึงความอัดอั้นที่เราต้องห่างจากโลกโซเชี่ยลและขาดติดต่อไประยะหนึ่งจนมีคนถามว่า ไปเที่ยวกันทำไมไม่เห็นโพสต์รูปให้ดูบ้างเลย อยากจะบอกว่าลองไปดูแล้วจะรู้


ทุกคนพร้อมใจกันควักโทรศัพท์ขึ้นมา พร้อมกับความดีใจมาก โทรศัพท์พวกเรามีสัญญาณแล้ว เออๆถ้าเจอสัญญาณแล้วกรุณาอย่าขยับนะครับเดี๋ยวมันจะหาไม่เจอ พวกเราแวะถ่ายรูปตรงจุดนี่เสร็จก็มีอีกสัก 1-2จุดมั้งไม่แน่ใจที่พวกเราแวะถ่ายรูปด้วยกัน



""เวลา 9:45 น. พวกเราเดินทางมาถึงตัวอำเภอด่านช้าง และแวะกินข้าวเช้ากันที่ร้านอาหารร้านหนึ่งอยู่ตรงทางขึ้นเขื่อน อาหารร้านนี้อร่อยมากๆ โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยว ต้มเลือดหมู มีเมนูอาหารมากมายหลายอย่างให้เราได้เลือกสรร เมื่อเราเดินมาถึงจุดนี้แล้วมันย่อมเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าการเดินทางทริปนี้เป็นอันสิ้นสุดลง แต่พวกเราสัญญากันแล้วว่ามันจะไม่จบแค่ทริปนี้แน่มันต้องมีอีกหลายสถานที่ที่พวกเราจะต้องเดินทางไปด้วยกันและเชื่อมความสัมพันธ์ที่เรียกว่า "มิตรภาพ" นี้ให้แนบแน่สืบไป........!

________________________________________________________________________________________
""คำแนะนำในการไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติพุเตย
1. ใจต้องรักธรรมชาติจริงๆ
2.  ห่างจากโลกโซเชี่ยลได้เป็นเวลานานๆ
3.  อั้นขี้ได้นาน
4.  ไม่ทิ้งขยะ
5.   ยอมรับว่าอาจเป็นไส้เลื่อน
6.   ยืด-อกพกถุง ไม่ได้เอาไปจิ้มใครแต่เอาไว้อ้วก
7.   ทนเสียงกรนของเต็นท์ข้างๆหรือเพื่อนเราได้
8.   อยากกินอะไรขนไปให้หมด อย่าไปแคร์ใครว่าเราบ้าหอบฟาง
9.   ควรเชื่ออีเจ๊เจ้าหน้าที่อุทยานจุดที่ 1 อย่าริอาจท้าทายคำเตือน
10. มีแฟนพาไปด้วยมันจะได้รู้ความลำบากเป็นไง
11. ถ้าไป 2 คนให้ซื้อเต็นท์ที่นอนได้ 3 คนจะได้ไม่ทะเลาะกัน
12. ทนตัวเหม็นได้เพราะอาจจะไม่ได้อาบน้ำ

หากท่านใดสามารถปฏิบัติได้ตามคำแนะนำคำเตือนขั้นต้นได้ท่านจะเที่ยว "อุทยานแห่งชาติพุเตย" ได้อย่างมีความสุข ขอให้เที่ยวอย่างมีความสุข "สวัสดี"
________________________________________________________________________________________

                                                                 "รูปถ่ายส่งท้าย"







************************************************************************************************************


































 
 






        
 



 
     
 




  

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ทริปนี้ที่สังขละบุรี

""สวัสดีครับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่เคารพรักทุกท่าน คือรีวิวนี้เพิ่งเขียนขึ้นมาพอดีมีน้องที่โรงแรมอยากจะไปบ้างเลยมาสอบถามข้อมูลกับผม ทริปนี้ผมเดินทางไปตั้งแต่ปีที่แล้วครับประมาณวันที่ 11-12 พฤศจิกายน 2557 มาครับเรามุ่งหน้าไป "สังขละบุรี" กันครับ
การเดินทาง
""วันที่ 11 พฤศจิกายน 2557
""ผมขึ้นรถตู้จากฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต รถเที่ยวแรกออก 6:00 น. แต่ผมไปทันเที่ยว 7:00 น. ค่ารถ 130 บาทใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง (บ้านผมอยู่สายไหมเลยไปขึ้นรถที่รังสิต)


""เดินทางถึงกาญจนบุรีเวลาประมาณ 9:08 น. หลังจากนั้นเดินไปขึ้นรถเมล์แดง(หวานเย็น) ออกเวลา 9:30 น. อยู่ช่อง B9 รถจะไปจอดที่อำเภอทองผาภูมิ เพื่อจะถ่ายรถ (รถไปสังขละบุรีมีทั้งรถตู้ รถเมล์แดงแอร์-พัดลม) ค่ารถน่าจะอยู่ที่ประมาณ 220-240 บาท/คน ผู้คนใช้บริการเยอะครับ โดยส่วนมากจะเป็นพวกคนมอญ 


และดูจากสภาพรถแล้วรู้เลยครับว่าเราต้องนั่งนานแค่ไหน แต่เนื่องจากเราสองคนไม่ได้รีบร้อนอะไรเลยไปเรื่อย จะได้สัมผัสบรรยากาศแบบเต็มที่สำหรับการเดินทางครั้งนี้


เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงกว่าๆเราก็เดินทางมาอำเภอที่ติดชายแดนแดนทางฝั่งตะวันตกของประเทศ "สังขละบุรี"


""เวลาประมาณ 14:30 น. เดินทางถึงอำเภอสังขละบุรี แล้วก็นั่งวินมอร์ไซค์ไปที่พัก ผมพักที่ coffee berry ซึ่งที่พักที่นี่ด้านหน้าเป็นร้านกาแฟครับ
""ถึงที่พักเช่ามอร์ไซค์วันละ 200 บาท/วัน เอาไว้ขับเที่ยวรอบๆตัวเมืองสังขละบุรี ผมเดินทางจากที่พักไปเที่ยวด่านเจดีย์สามองค์ซึ่งด่านทางนั้นสามารถข้ามไปประเทศพม่าได้อ่อๆจากสังขละบุรีไปด่านเจดีย์สามองค์ประมาณ 20 กิโลเมตร


เนื่องจากด่านเจดีย์สามอางค์ค่อนข้างไกลจากตัวอำเภอเราจึงเดินทางไปที่นั่นก่อนเป็นที่แรก ไม่แนะนำให้ข้ามไปทางฝั่งประเทศพม่านะครับเพราะไม่มีอะไรเลยเนื่องความเจริญยังเข้าไม่ค่อยถึงเท่าไหร่ แต่แถวด่านก็มีร้านขายของเป็นตลาดให้เดินเลือกซื้อของเหมือนด่านทั่วๆไป เยี่ยมชมเสร็จขับกลับมาที่พักแต่ก่อนเข้าที่พักเราก็ขับรถแวะไปชมบรรยากาศยามเย็นของสะพานมอญกันสักหน่อย



ในภาพเป็นเวลาช่วงบ่ายแก่ครับ เรานั่งเล่นอยู่บนสะพานกันสักพักเพื่อรอดูพระอาทิตย์ทางฝั่งตะวันตกลับขอบฟ้าไปด้วยเลย


ภาพสะพานลูกบวบก่อนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ซึ่งสะพานนี้มีความสำคัญมากในช่วงตอนที่สะพานมอญซึ่งเป็นสะพานหลักในการใช้สัญจรเกิดความเสียหายจากน้ำป่าไหลหลาก ชาวบ้านจึงได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างขึ้นเพื่อใช้สัญจรระหว่างทั้ง 2 ฝั่ง


พระอาทิตย์เตรียมตัวลับขอบฟ้าถึงเวลาต้องกล่าวคำล่ำลากับแสงสว่างเพื่อก้าวเข้าสู่ราตรี หลังจากดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเสร็จเราก็เดินทางกลับที่พักเพื่อเตรียมตัวออกไปถนนคนเดินสังขละบุรี(ตลาดโต้รุ่งมีแต่ของกิน) หาอะไรกินกันตามประสา คนที่นี่นอนกันเร็ว 2 ทุ่มก็เงียบแล้ว เงียบมากๆ


เดินวนกันอยู่ 2-3 รอบก็ตกลงนั่งกันกินกันที่ร้านอาหารเล็กๆริมทางที่ได้รับคำแนะนำมาจากรุ่นพี่คนหนึ่ง


ที่ผมกินอยู่นั่นเป็นหมูต้มเครื่องเทศแต่ก็คล้ายๆกับหมูพะโล้บ้านเราครับแต่ก็มีน้ำจิ้มให้สนนราคาอยู่ที่ไม้ละ 1 บาทคือก็สมกับราคาครับเพราะมีหมูเสียบอยู่ปลายไม้นิดเดียวเรากินกับไปประมาณ ร้อยกว่าไม้ครับ อ่อๆหรือว่าใครจะให้เขาทำเป็นยำก็ได้นะครับ อยากจะบอกว่าที่นี่ถ้าคนชอบเเสง สี เสียง ตัดที่นี่ออกไปได้เลยเพราเงียบมาก 2-3 ทุ่มก็ไม่ค่อยมีคนแล้วครับ เรากินกันเสร็จก็ขับรถกลับกลับที่พัก อาบน้ำ นอน เพื่อเตรียมตัวตื่นเช้าไปตักบาตรที่สะพานมอญ
""วันที่ 12 พฤศจิกายน 2557
""เวลา 5:30 น. นาฬิกาปลุกดัง ล้างหน้า แปลงฟัน เตรียมตัวไปตักบาตร อากาศตอนเช้าดีมาก มีหมอกลงเต็มไปหมด โดยเฉพาะที่สะพานมอญ ถูกปกคลุมไปด้วยหมอก 



ถ่ายภาพกับหมอกยามเช้านี่ได้บรรยากาศจริงๆเลย ถ่ายรูปเสร็จก็เตรียมตัวทำกิจกรรมแรกของวัน ไปทำบุญตักบาตรกันครับ




""ผมซื้อชุดตักบาตรชุดละ 100 บาทมีหลายราคาแต่ชุดละ 100 บาทจะมีชุดกรวดน้ำให้ด้วย ระวังพวกทำเนียนซื้อชุดธรรมดาแล้วมาเนียนหยิบที่กรวดน้ำเราไป ผมกับแฟนโดนมาแล้ว ผมเดือดมากคนแบบนี้ก็มีต้องระวังด้วยนะครับ หลังจากใส่บาตรเสร็จผมเดินข้ามสะพานไปฝั่งมอญกัน ฝั่งมอญก็มีชุดใส่บาตรเหมือนกัน มีร้านกาแฟ โจ๊ก ด้วย ผมนั่งกินโจ๊กกันฝั่งมอญ กินเสร็จเราก็เดินไปด้านล่างของสะพานเพื่อไปนั่งเรือนั่งไปชม ""วัดวังวิเวการาม หรือ วัดหลวงพ่ออุตตมะ" 


ไป-กลับ ใช้เวลา 1 ชั่วโมงช่าเร็วขึ้นอยู่กับเราว่าถ่ายรูปนานมั้ย ค่าเรือ 250-300 บาท




ภาพบรรยากาศทั่วไปบริเวณวัดครับ ถ่ายรูปเสร็จก็เดินทางกลับมายังสะพาน แต่ก่อนกลับก็แวะถ่ายรูปอีกสักหน่อย เพราะเดี๋ยวจะต้องกลับแล้ว



เวลา 9:00 น. เดินทางกลับห้องเพื่อมาเก็บของแล้วเดินทางไปขึ้นรถไฟสายมรณะที่สถานีน้ำตกไทรโยคน้อย เราเดินออกจากที่พักไปยังท่ารถกันครับไกลพอสมควร


ผมออกเดินทางออกจากอำเภอสังขละบุรี 10:00 น.ค่ารถตู้จากสังขละบุรีมาลงที่น้ำตกไทรโยคน้อย 175 บาทราคาเท่ากับลงตัวเมือง พอลงที่น้ำตกไทรโยคน้อยถ้ามีเวลาเราสามารถแวะเที่ยวชมน้ำตกก่อนได้แต่เนื่องจากเราไม่รู้เวลาที่รถไฟจะมาเทียบชานชาลาว่ามากี่โมงเราจึงตัดสินใจเดินไปที่สถานีรถไฟ และอีกอย่างที่เราไม่แวะน้ำตกเพราะว่าน้ำตกกับตัวสถานีรถไฟค่อนข้างไกลกันถ้าเดินขาลากแน่นอน


จากจุดที่ผมลงรถตู้เพื่อเดินเท้าไปยังสถานีรถไฟ ถ้าคนไม่เคยไปจะไม่รู้ว่าสถานีรถไฟอยู่ตรงไหนเพราะค่อนข้างซับซ้อนและผ่านบ้านเรือนผู้คน ผมแนะให้สอบทางเส้นทางกับคนในพื้นที่จะดีกว่าครับ เราเดินมากันสักพักก็ถึงสถานีรถไฟ "สถานีน้ำตก" เดินมาถึงก็หิวทันทีเลยหาข้าวกินที่สถานีรถไฟพร้อมกับรอรถไฟไปด้วยเลย
""เวลา 14:10 น. รถไฟมาถึงสถานี รถไฟอาจจะมาช้าไม่ค่อยตรงเวลา ต้องถามร้านข้าวที่สถานีหรือเจ้าหน้าที่ที่ช่องออกตั๋ว อ่อๆคนไทยตีตั๋วฟรี ส่วนคนต่างชาติคนละ 100 บาท/คน นักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะมากๆ ผมขอแนะนำให้นั่งฝั่งที่ไม่ติดกับสถานีเพราะจะเห็นวิวได้สวยที่สุด


ได้ขึ้นรถไฟแล้ว เราดีใจกันมากเพราะจะได้นั่งรถไฟสายประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกเลยนะ ระหว่างทางก็ผ่านหมู่บ้าน ไร่ สวน รีสอร์ท ต่างๆมากมาย นั่งมาสักเกือบ 2 ชั่วโมงเราก็เดินทางมาถึงจุด Climax ของรถไฟสายนี้แล้วครับซึ่งเป็นครั้งแรกของเราทั้งคู่



สำหรับเราแล้วมันช่างเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามาก หลังจากผ่านเส้นทางนี้ไปเราก็หลับพักผ่อนกันบนรถไฟนั่นแหละ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว
""เวลา 16:20 น. ผมเดินทางถึงสถานีแม่น้ำสะพานข้ามแม่น้ำแคว ลงถ่ายรูปแป๊บและนั่งวินไปยังขนส่ง เพื่อกลับ กทม. ค่าวิน 40 บาท



""เวลา 17:10 น. ขึ้นรถตู้เดินทางออกจากกาญจนบุรี และถึงที่พักในเวลา 20:30 น.

ปล.ที่พักที่ควรจะพักที่สังขละบุรี สามประสบรีสอร์ท , พี เกสต์เฮ้าส์ , พรไพลิน และถ้ามีเวลาแนะนำให้ซื้อทัวร์กับพี เกสต์เฮาส์ รู้สึกว่าค่าห้องรวมทัวร์อยู่ที่ 1,400 บาทแต่ผมอยากเที่ยวเองเลยทำตามใจต้องการ ทริปนี้ผมกับแฟนหมดเงินไปคนละ 1,940 บาท(ผมกับแฟนเป็นคนชอบดื่ม กิน เลยหมดเยอะหน่อยแต่ไม่เกินงบที่เราตั้งไว้)
""เป็นสิ่งที่ตั้งใจทำขึ้นมาเพื่อเป็นเผยแพร่การท่องเที่ยวของบ้านเราว่ามันมีดีไม่แพ้ใคร และหวังว่ามันคงจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่รักการเดินทางทั้งหลาย แล้วพบกันใหม่พี่น้องที่รักการเดินทางทั้งหลาย ขอบคุณข้อมูลบ้างส่วนจากพี่ปิแรส และน้องเต๋า
                          สวัสดี
*********************************************